มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประกาศแผนธุรกิจระยะกลาง 3 ปี (ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 – 2565) ภายใต้แนวคิด ‘Small but Beautiful’ มุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรในภูมิภาคอาเซียนและเทคโนโลยีล้ำสมัย แผนธุรกิจใหม่จะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงต้นทุนให้มีความเหมาะสมและยกระดับความสามารถในการสร้างผลกำไร เพื่อการวางรากฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนเมื่อครบ 3 ปีของแผนธุรกิจ
แผนธุรกิจใหม่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อการลดต้นทุนคงที่ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต ทั้งนี้การปรับปรุงกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีภายใต้แผนธุรกิจใหม่นี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ที่เป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ยังจะเพิ่มผลกำไรด้วยการส่งเสริมเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น อาทิ ระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ระบบไฮบริด (HEV) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (S-AWC) รวมถึงการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นจากความร่วมมือกันในกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีเหล่านี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น จึงมุ่งมั่นเปิดตัวยานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาด้านสังคม ที่ซึ่ง มนุษย์รถยนต์ และธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
“เราต้องการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของเราจากการขยายธุรกิจแบบรอบด้านไปสู่กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นและให้ความสำคัญแบบเฉพาะเจาะจง” มร. ทาคาโอะ คาโตะ ผู้แทนกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าว “สิ่งแรกที่เราต้องรีบดำเนินการ ได้แก่ การปฏิรูปเชิงโครงสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ และเสริมความแข็งแกร่งในด้านที่เรามีความชำนาญ เพื่อสร้างโครงสร้างองค์กรที่มั่นคงและสามารถสร้างผลกำไรตามแผนธุรกิจระยะกลางนี้”
หลักการดำเนินงานตามแผนธุรกิจระยะกลาง มีดังนี้:
มร. โมะริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เราได้ดำเนินงานให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจระยะกลาง ‘Small but Beautiful’ โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์สประเทศไทย มุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อสร้างการเติบโตในประเทศไทยด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และการบริการที่เป็นเลิศอย่างต่อเนื่องโดยประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น และยังเป็นที่ตั้งของศูนย์การผลิตรถยนต์ มิตซูบิชิ ขนาดใหญ่ที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่นโดยเราจะยังคงมุ่งมั่นในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง”
“หนึ่งในแผนงานที่สำคัญที่สุดของเราในระยะกลาง ได้แก่ การผลิตมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ที่ศูนย์การผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเราจะสามารถเปิดตัวได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ พร้อมกันนี้ ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลาง บริษัทฯ มีแผนที่จะแนะนำรถกระบะ มิตซูบิชิ ไทรทัน เจเนอเรชันใหม่ และยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย อีกหลากหลายรุ่น เรายังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการดำเนินงานเพื่อลูกค้าชาวไทย” มร. ชกกิ กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จะยังคงผลิตและจำหน่ายรถยนต์รุ่นปัจจุบันครบทุกรุ่นทั้ง มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต มิตซูบิชิ ไทรทัน มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ มิตซูบิชิ แอททราจ และ มิตซูบิชิ มิราจ ที่ยังคงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบันก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ยานยนต์รุ่นใหม่ที่มีความยั่งยืนอย่างรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด
โดยเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างโรงพ่นสีแห่งใหม่และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี โดยโรงพ่นสีแห่งใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนมูลค่า 7 พันล้านบาท เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีและยกระดับขีดความสามารถของศูนย์การผลิตรถยนต์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ดำเนินงานมาอย่างยาวนานในประเทศไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในด้านการผลิตและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากการก่อสร้างโรงพ่นสีแห่งใหม่นี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังมีแผนที่จะปรับปรุงพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อการยกระดับศูนย์การผลิตแหลมฉบังในอนาคต