ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเน้นย้ำความเป็นผู้นำเรื่องนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก ร่วมสนับสนุนโครงการ “การแข่งขันความคิดสร้างสรรค์สำหรับการคมนาคมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Future EV Mobility Creative Contest for Sustainability) #EV4Sustain ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 160 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เยอรมนี #160TG ปลูกฝังให้เยาวชนไทยหันมาตระหนักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความสำคัญรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
โดย คุณธนบดี กุลทล ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป กล่าวว่า “ปอร์เช่ เราสนับสนุนและให้ความสำคัญกับพลังงานขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน พร้อมเล็งเห็นถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้าปอร์เช่ ที่ให้ความนิยมหันมาใช้รถยนต์ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้นเทียบจากเปอร์เซ็นต์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน รถยนต์ประเภท BEV หรือ Battery Electric Vehicle รถยนต์ที่พึ่งพิงกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว อยู่ที่ 25% , รถยนต์ประเภทไฮบริดแบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟ Plug–in Hybrid Electric Vehicle หรือเรียกว่า PHEV 60% และ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน Internal Combustion Engine หรือ ICE 15% และเพื่อรองรับความสะดวกสบาย อีกทั้งในปัจจุบันเรายังได้ติดตั้ง DC High–Power Electric Vehicle Charger ณ ศูนย์บริการ Porsche ดอนเมือง และศูนย์บริการ Porsche พัฒนาการ หลังจากนั้นเราจึงได้จับมือกับพันธมิตร บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SHARGE และ บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี (Evolt) ซึ่งเป็นผู้นำด้านบริหารจัดการสถานีบริการชาร์จพลังงานไฟฟ้า ร่วมกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำในการติดตั้ง และจุดให้บริการเครื่องชาร์จไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนให้คนไทยหันมาเห็นคุณค่าของธรรมชาติ และหันมาร่วมกันใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น จึงเป็นที่มาของการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นผู้สนุนสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมที่ตั้งใจปลูกฝังเยาวชนไทยให้เข้าใจและเห็นความสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง โครงการ “การแข่งขันความคิดสร้างสรรค์สำหรับการคมนาคมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” #EV4Sustain ที่จัดขึ้นในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 160 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เยอรมนี #160TG”
ด้าน ปวราภา ดุพัสกูล ผู้อำนวยการแผนกการตลาดและประชาสัมพันธ์ ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป เล่าถึงวัตถุประสงค์ของการร่วมสนับสนุนกิจกรรม CSR ในครั้งนี้ว่า “การแข่งขันนี้เป็นการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์สำหรับการคมนาคมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของปอร์เช่ ที่มุ่งเน้นการใช้ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้ หัวข้อของการแข่งขัน #ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ที่มุ่งขับเคลื่อนแนวคิด “พันธมิตรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน” หรือ “Partners for Sustainable Growth” ให้มีผลเป็นรูปธรรม และจะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยที่จะพัฒนาและเรียนรู้ความทันสมัยในเทคโนโลยี นอกจากนี้ การแข่งขันยังสอดคล้องกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของทั้งสองประเทศ ได้แก่ นโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio–Circular–Green (BCG) Economy) ของไทย และนโยบาย Energy Transition and Climate Change ของเยอรมนี อีกด้วย นับเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์การพัฒนานวัตกรรมยานยนต์เพื่อสังคมไทยอย่างแท้จริง”
โดย “การแข่งขันความคิดสร้างสรรค์สำหรับการคมนาคมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” มีนักศึกษาเข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการออนไลน์และส่งผลงานเข้าประกวด ภายใต้หัวข้อโจทย์การแข่งขัน ซึ่งกำหนดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน คือหัวข้อ “ค้นหารูปแบบการแก้ปัญหาการเดินทางในกรุงเทพอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งหมายถึง ตามที่กรุงเทพมีการพัฒนาเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองที่ไม่ได้มีการวางผังเมืองอย่างชัดเจนนำไปสู่การเกิด “Superblock” จึงทำให้เกิดช่องว่างความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ในแง่ของการเดินทาง คุณภาพชีวิต การเข้าถึง ตลอดจนสุขภาพและความปลอดภัยขั้นพื้นฐานซึ่งผู้ชนะเลิศการแข่งขันคว้ารางวัลชนะเลิศ 100,000 บาท ไปครอง ได้แก่ นายชานน วนาสินชัย, นายณัฐวัตร ปิยนนทยา และนายก่อพจน์ ปิยะอัษฎารัตน์ จาก ทีม ACDC จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกวาดคะแนนจากคณะกรรมการด้านความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องการประหยัดพลังงานได้สำเร็จ ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คว้าเงินรางวัล 50,000 บาท จาก ทีม PorMayJedai จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คว้าเงินรางวัล 25,000 บาท ทีม Bangmod จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี งานนี้เรียกว่าเป็นกิจกรรมดีๆ ที่ทั้งสงเสริมให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และยังเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนไทยหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานไฟฟ้าที่จะช่วยสังคมไทยในอนาคตได้อีกด้วย