นับว่าปีนี้เป็นปีแห่งการรุกของค่าย CP FOTON เพราะหลังจากเปิดตัว “CP FOTON Aumark Flex” รถบรรทุก 4 ล้อเล็ก ซึ่งมีจุดเด่นที่ไม่ติดเวลา และได้การตอบรับที่ดีในระดับหนึ่ง ก็พร้อมลุยอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัว “CP FOTON Aumark iBlue 85” รถบรรทุกแบบ 6 ล้อ ที่มีขนาดใหญ่ และสามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายขึ้น และที่สำคัญมันใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% จึงถือว่าเป็นผู้เล่นหนึ่งเดียวในตลาดของกลุ่มรถบรรทุก ณ ปัจจุบัน
CP FOTON Aumark iBlue 85 มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า FTTB064 : 115 kW (156 PS) ให้แรงบิดสูงสุด 300 Nm. ความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางสูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 220 กิโลเมตร* (NEDC)
โดยในการใช้งานสามารถ Regeneration ได้สูงสุด 80 kWh ที่ความเร็วในขณะเบรก หรือ ปล่อยคันเร่ง หรือ ลงทางลาดชัน ที่ความเร็วตั้งแต่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (*ขึ้นอยู่กับลักษณะ ภูมิประเทศ สภาพการจราจร น้ำหนักบรรทุก และพฤติกรรมการขับขี่)
ตัวแบตเตอรี่เป็นแบบ Lithium Ion Phosphate (Li-Ion) 100% จาก CATL ขนาด 81.14 kWh, 150 แอมป์ (Ah) จำนวน 168 Cell แรงดันไฟฟ้า 540.96 V อายุการใช้งาน (Cycle) : 3,000 (DOD)
หัวชาร์จแบบยุโรป หรือ CCs2 รองรับทั้งการชาร์จเร็ว (DC Charge) และชาร์จปกติ (AC Charge) ระยะเวลาในการชาร์จ ถ้าเป็นแบบชาร์จเร็ว DC 120 kWh 20%-80% จะใช้เวลา 30 นาที ส่วนถ้าเป็นการชาร์จแบบปกติ AC 11 kWh 20%-80% จะใช้เวลา 4.30 ชั่วโมง
สำหรับมาตรฐานการป้องกันฝุ่นละอองและน้ำ (IP Standard) CP FOTON AUMARK iBlue 85 ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยของทวีปยุโรป ส่วนอุปกรณ์แรงดันไฟฟ้าสูงผ่านมาตรฐาน IP68 เช่น แบตเตอรี่ และ ส่วนควบคุมแบตเตอรี่ CP FOTON iBlue 85 สามารถป้องกันฝุ่นและการแทรกซึมของน้ำจากการใช้งานตามปกติได้ตลอดอายุการใช้งาน
อุปกรณ์แรงดันไฟฟ้าต่ำ Low Voltage ผ่านมาตรฐาน IP67 เช่น ปลั๊ก, ส่วนเชื่อมต่อกระแสไฟต่ำ สามารถป้องกันฝุ่นและป้องกันการแทรกซึมของน้ำจากการแช่ตัวอุปกรณ์ที่ความลึกถึง 1 เมตร ต่อเนื่องถึง 30 นาที
ระบบความปลอดภัยในส่วนของระบบเบรก ก็จะเป็นระบบเบรกไฟฟ้าที่มาพร้อม ABS และ ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ปรับสมดุลแรงเบรกหน้าและหลัง
ระบบช่วงล่างหน้าแบบพาราโบลิคสปริงจำนวน 3 ชิ้น พร้อมช่วงล่างหลังแบบแหนบสปริงหลัก จำนวน 5 ชิ้น แหนบสริงเสริมสมรรถนะการบรรทุกจำนวน 2 ชิ้น
ส่วนระยะช่วงฐานล้อจะอยู่ที่ 3.36 เมตร และมีมิติด้านหลังหัวเก๋งถึงปลายคัสซีอยู่ที่ 4.2 เมตร ซึ่งสามารถรองรับรูปแบบการต่อตัวถังได้หลากหลายตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุก GVW 6 ตัน โดยมีตัวรถมีน้ำหนัก 2.6 ตัน และมีสมรรถนะในการบรรทุกสูงสุดอยู่ที่ 3.4 ตัน
และนี่ก็เป็นสเปกของตัวรถแบบคร่าว ๆ ตามข้อมูลจากผู้จำหน่าย แต่สำหรับครั้งนี้มีการจำลองสนามแบบปิด เพื่อให้เหล่าสื่อมวลชนได้มีโอกาสทดลองขับ แม้ว่าจะเป็นระยะทางแบบสั้น ๆ แต่ก็พอจะสัมผัสได้ถึงสมรรถนะของตัวรถได้บ้าง (ตามเงื่อนไขที่จำกัด)
ความโดดเด่นของตัวรถที่ใช้พลังขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าก็คือ การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งทำได้อย่างกระฉับกระเฉง และนุ่มนวลเนื่องจากระบบส่งกำลังเป็นแบบซิงเกิ้ลเกียร์ เพียงแค่หมุนปุ่มตำแหน่งเกียร์และเหยียบคันเร่ง รถบรรทุกขนาดใหญ่ก็พร้อมจะเคลื่อนตัวออกไปได้อย่างรวดเร็ว
อัตราเร่งต้องถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากไม่ต้องรอรอบของกำลัง เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าจะปลดปล่อยพลังทันทีเมื่อเหยียบคันเร่ง และด้วยกำลังแรงบิดที่มากพอ จึงทำให้ได้ยินเสียงเอี๊ยดเล็ก ๆ ในบางจังหวะของการขับขี่…… “นับว่าไม่ธรรมดา”
ในเรื่องของแฮนด์ลิ่งของพวงมาลัย ที่ความเร็วต่ำถือว่ามีการตามสนองที่ฉับไว และในสนามมีจัดสเตชั่นสลาลมด้วย เราจึงได้พบกับความคล่องตัว และการคอนโทรลที่ง่ายในช่วงความเร็วต่ำ แต่ในส่วนของช่วงความเร็วสูง เรายังตอบไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดในการใช้ความเร็วในสนาม
ส่วนระบบเบรกรวม ๆ ก็ถือว่าวางใจได้นะ เพราะรถที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะมีอาการหน่วงช่วยจากระบบอยู่แล้ว แต่ส่วนตัวยังไม่ค่อยชอบอารมณ์แป้นเบรก ที่นิ่มและต้องกดลึก แถมตัวแป้นเบรกก็มีระยะห่างจากแป้นคันเร่งไม่มาก จึงทำให้กังวลทุกครั้งที่ต้องเบรกแบบแรง ๆ เพราะกลัวว่าจะเหยียบพร้อมกันกับเจ้าคันเร่งไปด้วย ยิ่งถ้าคนใส่รองเท้าเบอร์ใหญ่ ๆ หรือรองเท้าที่มีพื้นหนา ๆ บาน ๆ ก็น่าจะยิ่งหวาดเสียว
ส่วนช่วงล่างให้ความสบายในการขับขี่ กับสภาวะของการทดสอบที่เค้าเตรียมรูปแบบมาให้แบบนี้ ส่วนในการวิ่งใช้งานจริงบนถนนจะออกมานิ่มสบายแบบนี้หรือเปล่า ก็ยังบอกไม่ได้ เพราะยังไม่มีโอกาสได้ลอง
ซึ่งนี่ก็เป็นบทสรุปแบบสั้น ๆ กับการทดลองขับแบบสั้น ๆ (มาก ๆ) ในสนามที่เค้าจัดไว้ โดยรวมก็ถือว่าดีนะ รถขับง่าย ขับสบาย คล่องตัว และมีพลัง แต่ระยะทางที่เค้าเคลมมาประมาณ 200 กิโลเมตร (มากน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ และน้ำหนักบรรทุกของแต่ละคน) ซึ่งจริง ๆ ก็เหมือนจะเป็นจุดด้อยสำหรับรถบรรทุก
แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ยังมีผู้ประกอบการ หรือบริษัทห้างร้านต่าง ๆ อีกมากมาย ที่มีจุดประสงค์ในการใช้รถแบบเหมาะสมกัน ซึ่งนอกจากเอามาใช้งานเพื่อประกอบธุรกิจ ลดต้นทุนของค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าเชื้อเพลิง ค่าบำรุงรักษา ที่จะคุ้มค่าแบบเห็นผลในระยะยาว ก็ยังจะได้ในเรื่องของภาพลักษณ์องค์กรที่ใช้รถแบบไร้มลพิษ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
แต่ถ้าธุรกิจของคุณเป็นพวกที่ต้องวิ่งรถกันทั้งวันทั้งคืน หรือต้องวิ่งเป็นระยะทางไกล ๆ เพื่อรับหรือส่งของ ก็มองข้ามเจ้า CP FOTON Aumark iBlue 85 ไปได้เลย เพราะไม่ตรงรุ่นแน่ ๆ
ดังนั้นการจะเลือกใช้รถ ก็ต้องพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสมให้ลงตัว เพราะเหตุผลกับความจำเป็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ทิ้งท้ายให้นิดกับราคาจำหน่ายเจ้า CP FOTON Aumark iBlue 85 จะอยู่ที่ 1,490,000 บาท(พร้อมเครื่องชาร์จ AC 7 kWh) ส่วนการรับประกันคุณภาพสินค้า (Warranty) ก็จะมีการรับประกันตัวรถ 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง, การรับประกันแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า 5 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร และพร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistant 3 ปี