มาเซราติ เปิดตัว กิบลี 334 อัลติมา (Ghibli 334 Ultima) และเลวานเต้ วี8 อัลติมา (Levante V8 Ultima) ครั้งแรกให้คนทั่วโลกได้ยลโฉมที่งานกู๊ดวูด เฟสติวัล ออฟ สปีด (Goodwood Festival of Speed) สุดยอดงานเทศกาลมอเตอร์สปอร์ตและรถแข่งประจำปีในประเทศอังกฤษ
ในการจัดงานปีนี้ ค่ายตรีศูลเฉลิมฉลองบทสุดท้ายของซูเปอร์คาร์หลายรุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ วี8 ขุมพลังแห่งตำนานซึ่งมียอดจำหน่ายไปแล้วมากกว่า 100,000 คันนับตั้งแต่เปิดตัว มาเซราติ 5000 จีที (Maserati 5000 GT) ครั้งแรกเมื่อปี 1959
งานเทศกาลรถยนต์ดังกล่าวจะเป็นเวทีเปิดตัวรถยนต์สุดพิเศษทั้งสองรุ่นจากค่ายตรีศูล อันเป็นการเฉลิมฉลองปิดฉากการผลิตเครื่องยนต์ วี8 ทวินเทอร์โบ 572 แรงม้า ซึ่งจะทำให้รถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นนี้กลายเป็นแรร์ไอเทมของนักสะสมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซูเปอร์คาร์พิเศษทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ กิบลี่ 334 อัลติมา (ตัวเลขที่ปรากฏในชื่อรุ่นคือความเร็วสูงสุดของรถรุ่นนี้ และทำให้เป็นรถซีดานเครื่องยนต์สันดาปภายในที่เร็วที่สุดในโลก) และ เลวานเต้ วี8 อัลติมา ซึ่งจะสร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้กับผู้เข้าชมงานที่โซนจัดแสดงรถรุ่นล่าสุดของแต่ละแบรนด์ (First Glance Paddock) นอกจากนี้ กิบลี่ 334 อัลติมายังจะโชว์สมรรถนะความเร็วในการแข่งขึ้นเขาในงานนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ อีกรุ่นหนึ่งที่จะเข้าร่วมการแข่งขึ้นเขาด้วย คือ มาเซราติ กรันทูริสโม โทรฟิโอ (Maserati GranTurismo Trofeo) ที่มาพร้อมขุมพลัง 542 แรงม้าจากเครื่องยนต์เน็ททูโน วี6 (Nettuno V6) ซึ่งมีจุดเด่นที่นวัตกรรมระบบจุดระเบิดที่มีหัวเทียนแบบคู่ (twin spark plugs) ที่พัฒนามาจากเทคโนโลยีของรถแข่งฟอร์มูลาวัน (F1)
ภายในโซนจัดแสดง มาเซราติ ได้จัดแสดงความสำเร็จที่ผ่านมาและศักยภาพของ มาเซราติ กรันทูริสโม วันออฟ พริสมา (Maserati GranTurismo One Off Prisma) และ มาเซราติ กรันทูริสโม โฟลกอเร (Maserati GranTurismo Folgore) ให้ผู้เข้าชมงานได้ร่วมชื่นชมและสัมผัสยนตรกรรมสุดหรูที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกนี้ได้อย่างใกล้ชิด
รถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่นี้ใช้แบตเตอรี่ 800 โวลต์ ซึ่งรังสรรค์ขึ้นด้วยสุดยอดเทคโนโลยีที่พัฒนามาจากรถแข่งฟอร์มูลา อี (Formula E) ที่ทำให้รถแข่งแบบคูเป้สี่ที่นั่งรุ่นนี้สามารถวิ่งไกลได้ถึง 450 กิโลเมตรในการชาร์จเพียงครั้งเดียว และเพิ่มระยะทางวิ่งได้ถึง 100 กิโลเมตรเมื่อชาร์จเร็วในเวลาเพียง 5 นาที นอกจากนี้ยังคงมีสมรรถนะเหนือระดับด้วยมอเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้าขนาด 300 กิโลวัตต์ 3 ชุด ซึ่งอยู่ด้านหน้ารถ 1 ชุด และท้ายรถ 2 ชุด ทำให้มีพลังสูงถึง 750 แรงม้าและแรงบิดที่ 1,350 นิวตันเมตร
ซูเปอร์คาร์ในตระกูลกรันทูริสโมทั้งหมด ถูกพัฒนาขึ้นจากมาเซราติ เอ6 1500 จีที (Maserati A6 1500 GT) ซึ่งเป็นรถยนต์แกรนด์ทัวริ่งคันแรกของโลก โดดเด่นด้วยการผสานอย่างลงตัวระหว่างสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ เทคโนโลยีสุดล้ำ และสมรรถนะสุดแรง จุดเด่นทั้งหมดนี้มารวมกันอยู่ในรถยนต์สุดเท่สัญชาติอิตาลีเหล่านี้
ยนตรกรรมที่มาเซราตินำมาจัดแสดงในส่วนรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Avenue) ของเทศกาลนี้ ได้แก่ มาเซราติ เกรคาเล่ โฟลกอเร (Maserati Grecale Folgore) ซึ่งเป็นรถยนต์เอสยูวีหรูขนาดกลาง ติดตั้งแบตเตอรี่ 105 กิโลวัตต์ ที่ใช้เทคโนโลยี 400 โวลต์ และสามารถวิ่งได้ระยะทาง 310 ไมล์ (ประมาณ 500 กิโลเมตร*) และถูกออกแบบอยางประณีตเพื่อให้การขับขี่ทุกวันเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจเหนือระดับ เกรคาเล่ โฟลกอเร ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่ออกแบบและผลิตในประเทศอิตาลี ที่สะท้อนความเป็นหนึ่งของมาเซราติทั้งในด้านสมรรถนะและความหรูหรา ทรงพลังด้วยแรงบิด 820 นิวตันเมตรและขุมกำลังกว่า 500 แรงม้า
อีกหนึ่งซูเปอร์คาร์ที่จะเป็นดาวตลอด 4 วันของการจัดงานได้แก่ มาเซราติ เอ็มซี20 แชโล (MC20 Cielo) ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในอังกฤษเมื่อปีที่แล้วพร้อมกับเดวิด เบคแฮม ที่งานเทศกาลกู๊ดวูด เฟสติวัล ออฟ สปีด 2022 และในงานนี้ เอ็มซี 20 แชโล จะกลับมาแสดงพลังอีกครั้งในการเข้าร่วมการแข่งรถขึ้นเขา โดยมีรอสโซ วินเชนเต (Rosso Vincente) เป็นผู้ขับซูเปอร์คาร์ที่โดดเด่นสะดุดตาคันนี้ มีอัตราน้ำหนักต่อแรงม้า (weight-to-power ratio) มหาศาล แชสซีที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ หลังคาเปิดประทุนใส วางขุมพลังเน็ททูโน วี 6 ที่พัฒนามาจากรถแข่งฟอร์มูลาวัน ให้พลังสูงถึง 621 แรงม้า
*ตัวเลขคาดการณ์และสเป็กของ EU