ในปัจจุบันนี้ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและตระหนักรู้เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สู่การปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจแห่งอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ก็ต้องปรับตัวไปในทิศทางดังกล่าวเช่นกัน นวัตกรรมยานยนต์ที่สะอาดและทันสมัย เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จึงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้ขับขี่และการพัฒนาในยุคใหม่ซึ่งต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ จึงทำให้ยังมีผู้ขับขี่บางส่วนที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และคงมีข้อกังวลใจในการใช้งานรถยนต์ประเภทนี้ ดังนั้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยานยนต์พลังงานสะอาดแห่งอนาคต ทางบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จึงขอส่งมอบความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับยนตรกรรมไฟฟ้าและนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจ รวมทั้งแชร์เคล็ดลับง่าย ๆ ที่เป็นประโยชน์กับทุกคนในการเตรียมความพร้อมเพื่อการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดแบบไร้กังวลรองรับเทรนด์แห่งอนาคต
1) เรียนรู้ข้อมูลพื้นฐานของรถยนต์ไฟฟ้าก่อนการขับขี่จริง
2) แยกแยะประเภทการชาร์จของรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้
โดยหลัก ๆ แล้ว เราสามารถแบ่งประเภทการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current – AC)
คือการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยใช้ไฟบ้าน ผ่านสายชาร์จฉุกเฉินซึ่งสามารถเสียบกับปลั๊กไฟในบ้านที่สามารถรองรับการจ่ายกระแสไฟได้เพียงพอ หรือ ผ่าน Wall box (แผงวงจรที่ได้รับการออกแบบมาให้มีช่องปล่อยกระแสไฟแบบพิเศษเพื่อการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ) โดยผู้ใช้สามารถติดตั้ง Wall box ที่บ้านเพื่อใช้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ทุกรุ่น เหมาะสำหรับผู้ที่มีบ้านพักอาศัยส่วนตัวซึ่งสามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบข้ามคืนได้ เนื่องจากการชาร์จไฟฟ้าแบบ AC จะใช้เวลาพอสมควร ซึ่งเวลาที่ใช้ในการชาร์จ จะแปรผันตามความสามารถในการจ่ายกระแสไฟของเครื่องชาร์จ และความสามารถของตัวรถในรับกระแสไฟด้วยเช่นกัน โดยรถยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู อย่างบีเอ็มดับเบิลยู i7 และบีเอ็มดับเบิลยู iX สามารถรับกระแสไฟในการชาร์จแบบ AC ได้สูงสุดถึง 22 กิโลวัตต์
2. การชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current – DC)
คือการชาร์จผ่านสถานีชาร์จตามห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน หรือศูนย์ชาร์จรถไฟฟ้า ที่ใช้การจ่ายไฟฟ้าแบบกระแสตรง ซึ่งใช้เวลาในการชาร์จค่อนข้างเร็ว สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิจะสามารถรองรับการชาร์จแบบ DC ด้วยกระแสไฟตั้งแต่ 50 กิโลวัตต์ ไปจนถึง 250 กิโลวัตต์ (ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู i4, iX, i7 เป็นต้น)
3) เตรียมความพร้อมระบบไฟฟ้าที่บ้านก่อนออกสตาร์ท
4) วางแผนก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความอุ่นใจทุกเส้นทางใกล้ไกล
สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในฐานะผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม ยังคงเดินหน้าผลักดันการใช้ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมียนตรกรรมไฟฟ้าให้เลือกซื้อครบทั้ง 3 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น บีเอ็มดับเบิลยู iX3, บีเอ็มดับเบิลยู iX, บีเอ็มดับเบิลยู i4, บีเอ็มดับเบิลยู i7, มินิ คูเปอร์ เอสอี รวมถึงสกู้ตเตอร์ไฟฟ้าจากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่าง CE04 ซึ่งนอกจากที่ลูกค้าจะได้สัมผัสความเป็นเลิศในด้านสมรรถนะการขับขี่ และเทคโนโลยีสุดล้ำในรถแต่ละรุ่นแล้ว ลูกค้ายังสามารถขับขี่ได้อย่างอุ่นใจด้วยแพ็คเกจบำรุงรักษา BMW / MINI Service Inclusive Standard และ Ultimate ที่ครอบคลุมการบำรุงรักษาและการรับประกัน 4 ปีและ 6 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมการรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี / 160,000 กิโลเมตร
ความรู้และเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ จะช่วยลดข้อกังวลใจของผู้ขับขี่ให้สามารถขับรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจและได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้นในทุกเส้นทาง ซึ่งจะช่วยสร้างความคุ้นเคยในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าและปูทางไปสู่แนวทางการสัญจรที่ยั่งยืนในอนาคตค สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ‘Neue Klasse’ ของบีเอ็มดับเบิลยู ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ที่คำนึงถึงองค์ประกอบหลักอันเป็นแก่นของแบรนด์ 3 ประการ ได้แก่ ยนตรกรรมไฟฟ้า (Electrification) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เสริมประสบการณ์การขับขี่ (Digitalisation) รวมถึงการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากร (Circularity) เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Footprint ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ถ่ายทอดแนวคิดเหล่านี้ออกมาในรถยนต์ต้นแบบ ‘BMW Vision Neue Klasse’ ที่มาในปรัชญาการดีไซน์แบบใหม่ เน้นย้ำความเรียบง่าย แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู อย่างกระจังหน้าทรงไตคู่ และยังมาพร้อมเทคโนโลยี BMW iDrive ที่สามารถผสานโลกเสมือนเข้าไว้กับโลกแห่งความเป็นจริง พร้อมสอดประสานความยั่งยืนอย่างการใช้วัสดุหมุนเวียนและระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2568 เป็นต้นไป ซึ่งรถยนต์ต้นแบบนี้ จะกลายมาเป็นหัวใจสำคัญในนำรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูเข้าสู่ยุคสมัยใหม่แห่งสุนทรียภาพแห่งการขับขี่