บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน UltraForce Diesel B10 ว่า สามารถใช้งานกับรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลได้โดยไม่มีกระทบหรือสร้างความเสียหายใดๆ กับระบบการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซล พร้อมกับการใช้สารเติมแต่งUltraForce เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยมีค่าซีเทนสูงขึ้น ทำให้การจุดระเบิดเร็วขึ้น เพิ่มกำลังและความแรงให้กับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางได้อย่างแท้จริง
นอกจากการทดสอบคุณภาพที่สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้งานรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลว่ามีประสิทธิภาพไม่ต่างกับน้ำมันดีเซลB7 แล้ว ยังมีรายงานที่ระบุถึงความสามารถของน้ำมัน UltraForce Diesel B10 ว่าสามารถช่วยขจัดสิ่งสกปรกและชะล้างคราบเขม่า ป้องกันการอุดตันของหัวฉีดได้อีกด้วย รวมถึงช่วยลดมลภาวะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าน้ำมันดีเซลB7
ทั้งนี้ เมื่อนำน้ำมัน UltraForce Diesel B10 มาเปรียบเทียบกับ น้ำมัน UltraForce Diesel B7 โดยใช้รถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ รุ่นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร อายุรถไม่เกิน 1 ปี ทดสอบตามมาตรฐานของ NEDC Cold Test ได้ผลลัพธ์เป็นตัวเลขค่าควันดำที่ลดลงถึง 42% และค่าฝุ่นละออง PM2.5 ลดลงได้ 3.5%
เหนืออื่นใด จากนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันให้ น้ำมันดีเซลชนิด B10 เป็นน้ำมันพื้นฐานของประเทศ ทำให้ UltraForce Diesel B10 มีราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่า น้ำมันดีเซลชนิด B7 ถึงลิตรละ 3 บาท เป็นการเพิ่มความคุ้มค่าให้ผู้บริโภค หันมาใช้งานดีเซล B10 กันมากขึ้น สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศได้โดยตรง
นอกจากนั้นยังมีผลกระทบเชิงบวก ต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจากการเปลี่ยนมาใช้ UltraForce Diesel B10 กันมากขึ้นจะส่งผลให้ เกษตรกร มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากการนำผลผลิตทางการเกษตรมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลชนิด B100
ถึงบรรทัดนี้ ด้วยประสิทธิภาพของน้ำมัน UltraForce Diesel B10ที่แรงไม่แตกต่าง มั่นใจในคุณภาพที่เหมือนเดิม และคุ้มค่ากว่าด้วยราคาจำหน่ายถูกกว่าถึง 3บาท จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ใช้งานรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลต่างมั่นใจและหันมาใช้UltraForce Diesel B10 กันมากขึ้น จุดดีเด่นครบถ้วนขนาดนี้ ถึงเวลาที่คุณจะเปลี่ยนมาใช้ UltraForce Diesel B10 แล้วหรือยัง