บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวโครงการ “Charge to Change” อย่างเป็นทางการ ชวนผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกับพลังงานน้ำมันหันมา “ชาร์จเพื่อเปลี่ยนโลก” โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนไทย
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โควิด-19 เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบกับผู้คนทั่วโลก นำไปสู่การที่พวกเราต้องเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อลดการระบาด ส่วนปัญหามลภาวะทางอากาศของฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นดูเหมือนจะบรรเทาเบาบางลงและไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก ทว่าในความเป็นจริง ปัญหานี้ยังอยู่กับเรา ไม่ได้หายไปไหน และการเดินทางด้วยรถยนต์ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิด PM 2.5 ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุชัดเจนว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของฝุ่นละออง PM 2.5 นั้นมาจากการเดินทางโดยรถยนต์ และเฉพาะในกรุงเทพฯ เพียงเมืองเดียวก็มีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนอยู่มากกว่า 10 ล้านคัน ไม่ว่าจะมีโควิดหรือหลังจากโควิดผ่านพ้นไป ปัญหา PM 2.5 จะยังเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยทุกภาคส่วนต้องหันมาร่วมมือกันแก้ไข”
“สำหรับเมอร์เซเดส–เบนซ์ ประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่เข้ามาลงทุนและทำตลาดในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เราได้กลับมาคิดทบทวนว่า จะมีทางใดที่เรายังสามารถใช้รถยนต์ต่อไปแต่ช่วยให้อากาศสะอาดขึ้นได้บ้าง ซึ่งเราพบว่า รถยนต์ EQ Power หรือรถยนต์รุ่นปลั๊กอินไฮบริดที่เรามีนั้นสามารถมอบการเดินทางที่ปราศจากมลพิษให้กับผู้ขับขี่ได้ แต่การจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในวงกว้างนั้นต้องมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะจากผู้ใช้รถยนต์ทุกคน นี่จึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์โครงการ “Charge to Change” ขึ้นอย่างเป็นทางการในวันนี้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งผู้ใช้เมอร์เซเดส–เบนซ์และผู้ใช้รถยนต์ แบรนด์อื่น ๆ ตระหนักว่า คุณสามารถมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนโลกให้สะอาดขึ้นพร้อมทั้งลดปัญหา PM 2.5 ได้เพียงหันมาชาร์จรถยนต์ของคุณให้บ่อยขึ้น นอกจากนี้เรายังจะประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ร่วมมือกันขับคลื่อนเพื่อผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็นฮับของการเดินทางโดยรถยนต์พลังงานสะอาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตด้วย” มร. โรลันด์ กล่าวต่อ
เมอร์เซเดส–เบนซ์สร้างสรรค์โครงการ “Charge to Change” ขึ้นเป็นโครงการระยะยาวที่จะแบ่งออกเป็น 3 เฟส ได้แก่
ทั้งนี้ เมอร์เซเดส–เบนซ์ยังได้เปิดเผยยอดขายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ว่า รถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงภายใต้ แบรนด์ Mercedes–AMG สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นถึง 54% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้ว ส่วนรถยนต์ EQ Power หรือรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของเมอร์เซเดส–เบนซ์มีสัดส่วนของยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 31% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่า เทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อรถยนต์พลังงานทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมนั้นเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการสร้างสรรค์โครงการ “Charge to Change” ซึ่งจะเป็นโครงการระยะยาวที่เมอร์เซเดส–เบนซ์มีความตั้งใจจะทำเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาตระหนักในการมีส่วนร่วมในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นในอนาคต
นอกจากการเปิดตัวโครงการ “Charge to Change” อย่างเป็นทางการแล้ว ภายในงานเมอร์เซเดส–เบนซ์ยังได้นำรถยนต์รุ่น Mercedes-Benz G 350 d Sport ที่สุดแห่งยนตรกรรมออฟโรดที่พร้อมพาคุณพิชิตทุกจุดหมายในการเดินทางได้อย่างมั่นคงด้วยวิถีของเมอร์เซเดส–เบนซ์ G-Class ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยหมาด ๆ มาจัดแสดงภายในงานด้วย
ผู้สนใจรถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์รุ่น EQ Power ทุกรุ่น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส–เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ