การเปิดตัวของ MG ZS ครั้งนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในแบบบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ที่เรียกเสียงฮือฮาตั้งแต่รอบการเปิดตัวแบบออนไลน์ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย คือ C+ ราคา 689,000 บาท, D+ ราคา 739,000 บาท และ X+ ราคา 799,000 บาท
อย่างแรกที่หลายคนให้ความสนใจก็คือ เรื่องของรูปโฉมภายนอกที่หล่อเหลาขึ้นอย่างสะดุดตา โดยหลัก ๆ มีการเปลี่ยนกระจังหน้าให้ดูสปอร์ตขึ้น โดยรับกับไฟหน้าใหม่แบบ LED โปรเจคเตอร์ อย่างลงตัว ส่วนอื่น ๆ ก็เป็นล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว แล้วก็ไฟท้ายที่เป็นแบบ LED นั่นเอง
สำหรับภายในห้องโดยสารก็มีการปรับปรุงใหม่แบบชุดใหญ่เช่นกัน โดยจุดเด่นใหม่ ๆ ที่ใส่เข้าไปนั้นก็เริ่มจากเรือนไมล์ที่มาพร้อมจอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว ซึ่งนอกจากจะให้ความรู้สึกล้ำสมัยแล้ว ยังสามารถแสดงผลข้อมูลต่าง ๆ ในการทำงานของตัวรถได้อย่างมากมาย ถัดมากับจอ TOUCHSCREEN ขนาด 10 นิ้ว ที่ยกมาจาก MG HS พร้อมกับกล้อง 360 องศา ที่แสดงผลแบบ 3 มิติ ซึ่งช่วยให้รายละเอียดด้านความปลอดภัยได้ดี แต่เรื่องความคมชัดนั้นถูกดร็อปลงไป ก็คงเป็นผลจากเรื่องราคาค่าตัวที่ต้องกดไว้นั่นเอง
ถัดมาก็เป็นเบาะปรับไฟฟ้าด้านคนขับ, ระบบเบรกมือไฟฟ้า, ที่พักแขนด้านหน้า และสิ่งที่สร้างความโดดเด่นมาตั้งรุ่นที่แล้วก็คือ หลังคา PANORAMIC SUNROOF กับพวงมาลัย MULTI-FUNCTION ซึ่งก็ยังมีอยู่ในรุ่นนี้อย่างครบถ้วน แต่สิ่งที่เราอยากให้เพิ่มเติมเข้าไปก็คือ การปรับระยะพวงมาลัยแบบสี่ทิศทาง (ตอนนี้ปรับได้สองทิศทางแบบระยะไม่เยอะด้วย) กับอีกอย่างก็คือที่พักแขนด้านเบาะหลัง
โดยรวมนับว่า MG ให้ของมาเยอะจริง เมื่อเทียบกับราคารถ เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังไม่ได้พูดถึง เช่น ระบบไฮเทคอย่าง i-SMART, ระบบสั่งงานด้วยเสียง SMART COMMAND, SMART CONNECT และระบบความปลอดภัยต่าง ๆ อีกมากมาย
หัวใจหลักในการขับเคลื่อนกับเครื่องยนต์ตัวเดิมขนาด 1.5 ลิตร กำลัง 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที (รองรับเชื้อเพลิงได้ถึง E85) โดยมีการเปลี่ยนระบบส่งกำลังใหม่เป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 8 Speed ซึ่งมีความน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม และนี่ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราต้องมาลองสัมผัสกับสิ่งที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้
เรื่องสมรรถนะโดยรวมบอกเลยว่า ‘ไม่น่าจะถูกใจคนใจร้อน หรือเท้าหนักแน่นอน’ แต่สำหรับคนที่เอาไปขับใช้งานธรรมดาแบบทั่วไปนั้นถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน แม้อัตราเร่งไม่ติดเท้า แต่ก็มีมาให้ใช้งานเรื่อย ๆ แบบคนไม่รีบร้อน ระบบเกียร์ CVT ตัวใหม่ที่มาทำหน้าที่แทนออโต้ 4 สปีดแบบเดิม ๆ ทำงานได้นุ่มนวล ซึ่งตลอดเวลาเท่าที่ได้ลองขับก็ยังไม่มีอาการกระชาก กระตุกให้รู้สึกในช่วงความเร็วต่ำหรือตอนคลานอยู่ในที่การจราจรหนาแน่น ส่วนทางยาว ๆ เหรือช่วงความเร็วสูง ๆ หรือบางช่วงที่ลองรีดสมรรถนะแบบหนัก ๆ ก็ยังไม่เจอความผิดปกติอะไรในการทำงาน
ขุมพลัง 1.5 ลิตร กำลัง 114 แรง แรงบิด 150 นิวตันเมตร กับภาระที่ต้องแบกน้ำหนักประมาณตันครึ่งในครั้งนี้ เมื่อใช้งานกับรูปแบบในเมือง ก็สามารถไหลลื่นไปกับการจราจรได้ดี อัตราเร่งมีมาให้แบบไม่ติดเท้า ไม่ดุดัน และไม่รุนแรง แต่ถ้าคุณเลี้ยงคันเร่งและไล่ระดับไปเรื่อย ๆ ความพริ้วไปกับการจราจรก็สามารถทำได้ไม่ยาก ส่วนเมื่อต้องเดินทางไกลการขับขี่ตามความเร็วที่กฎหมายกำหนด ก็สามารถทำได้แบบไม่เกิดความเครียด แต่ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องใช้ความเร็ว หรือต้องเร่งแซงบ่อย ๆ ก็ต้องเผื่อระยะในการเร่งแซงให้ดี และถ้าในบางช่วงเจอเพื่อนร่วมทางที่เกเร มีการเร่งความเร็วใส่ เราก็ควรยกและเบรก พร้อมหาจังหวะเปลี่ยนกลับเข้าเลนของตัวเองให้ไว เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าเสี่ยง เนื่องจากพลังของรถไม่ได้มีเหลือเฟือไว้สำหรับในการเช็คบิล หรือการต่อกรกับใครบนท้องถนนน (อัตราเร่งแซงช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม. จะใช้เวลาเปลืองไปถึง 12.4 วินาทีเลยทีเดียว)
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เท่าที่ลองจับเวลาอยู่ประมาณ 4-5 รอบด้วยเครื่องมือทดสอบที่เป็นมาตรฐาน กับลักษณะการขับขี่แบบเหยียบมิดตั้งแต่จุดหยุดนิ่ง ตัวเลขที่ดีที่สุดที่ทำได้ก็อยู่ที่ 18.2 วินาที แต่เมื่อลองเปลี่ยนวิธีการขับขี่เป็นแบบไล่คันเร่ง เวลาที่ทำได้ก็ดีขึ้นโดยตัวเลขจะอยู่ที่ 16.8 วินาที ซึ่งถ้ามีเวลาเรียนรู้นิสัยของรถได้มากกว่านี้ ตัวเลขอัตราเร่งก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้อีกหน่อยเป็นแน่
จากจุดนี้ก็แสดงให้เห็นว่าในรถยนต์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ ก็จะมีลักษณะนิสัยของตัวรถที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าใครเรียนรู้ และเข้าใจนิสัยของรถได้ ก็จะสามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของรถคันนั้นได้อย่างเต็มที่นั่นเอง โดยในหลาย ๆ ครั้งกับใครหลายคนที่ไม่เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับตัวรถ บางครั้งก็อาจจะไม่พบกับสมรรถนะหรือตัวตนของรถที่แท้จริง และอาจจะทำให้ตีค่าของรถคันนั้นต่ำไปกว่าความเป็นจริง
ส่วนรอบเครื่องยนต์ในการเดินทางนั้น
ช่วงความเร็ว 80 กม./ชม. จะอยู่ที่ประมาณ 1,500 รอบต่อนาที
ช่วงความเร็ว 100 กม./ชม. จะอยู่ที่ประมาณ 1,800 รอบต่อนาที
ช่วงความเร็ว 120 กม./ชม. จะอยู่ที่ประมาณ 2,200 รอบต่อนาที
การเปลี่ยนเกียร์ใหม่ แม้จะไม่ได้ช่วยสร้างความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะ แต่ก็ดีขึ้นในเรื่องของการใช้งาน และยังช่วยลดรอบของเครื่องยนต์สำหรับการเดินทางไกล หรือตอนใช้ความเร็วด้วย แต่ผู้ขับขี่ก็ควรจะเรียนรู้ลักษณะนิสัยในการทำงานของระบบเกียร์เมื่อมาทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ตัวนี้ให้ดี เพื่อที่จะได้ประโยชน์สูงสุดของมันมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การทำงานของระบบช่วงล่างถือว่าอยู่ในเกณฑ์ให้ความสบายในการเดินทาง มีความนุ่มนวลให้ทั้งในช่วงความเร็วต่ำและความเร็วสูง ซึ่งการใช้ความเร็วระดับ 140-160 กม./ชม. ตัวรถก็ยังนิ่งให้ความมั่นใจที่ดีในการเดินทาง ส่วนการลองขับในสนามทดสอบของ MG ในสไตล์การขับขี่แบบใช้ความเร็วที่ไม่โหด เมื่อเจอโค้งยาว ๆ หรือต้องโยนเปลี่ยนเลนแบบกะทันหัน ก็ถือว่าตัวรถเชื่องมือ โดยมีอาการเอียงและโยนตัวน้อยในระดับที่น่าพอใจ การเข้าโค้งก็ทำได้ง่ายแบบรถไม่ดื้อ ซึ่งถ้าเป็นการสอบก็ถือว่า ‘ผ่าน’ แบบสบาย ๆ (เมื่อเทียบกับลักษณะของตัวรถ)
ส่วนระบบเบรกในครั้งนี้ยังไม่ได้มีการลองแบบหนัก ๆ เนื่องจากรูปแบบการทดสอบไม่เอื้ออำนวยก็เลยยังไม่อยากฟันธง แต่บอกได้ว่าสำหรับการขับขี่ใช้งานทั่วไปทั้งช่วงความเร็วต่ำและสูง ก็ไม่ได้สร้างความหวาดเสียวหรือให้ความรู้สึกที่ไม่มั่นใจแต่อย่างใด
บทสรุปสำหรับ NEW MG ZS ก็คือ ถ้าคุณต้องการรถยนต์มาใช้งานในชีวิตประจำวันซะคันที่มีความอเนกประสงค์ในราคาไม่สูง สามารถลุยน้ำท่วม หรือถนนแย่ ๆ ได้ดีในระดับหนึ่ง รูปทรงหน้าตาดูดี มีห้องโดยสารที่กว้างขวาง ให้ความสะดวกสบาย และมีออฟชั่นเยอะ ๆ รวมถึงระบบไฮเทคอย่าง i-SMART ที่สามารถคอนโทรลเกือบทุกอย่างได้ในมือคุณ ก็นับว่าเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น… คำตอบสุดท้ายในการตัดสินใจ ก็ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุผลส่วนตัวของคุณ แต่เราก็หวังว่าข้อมูลในการทดสอบครั้งนี้จะมีส่วนช่วยประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้คุณได้สิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณนั่นเอง