หลังจากความประทับใจในการสัมผัส SUZUKI SWIFT กับการทดลองขับในสนามพีระเซอร์กิตเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ครั้งนั้นก็ได้เห็นถึงสมรรถนะที่เป็นตัวตนกับการรีดทุกขีดจำกัดของตัวรถ ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของการบังคับควบคุมที่โดดเด่น การยึดเกาะถนนในการเข้าโค้งที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงระบบเบรกที่ไว้วางใจได้ แม้เครื่องยนต์จะไม่โหดดุดัน แต่ก็พอจะให้ความสนุกแบบหายคันได้ดีในระดับนึง
ครั้งนั้นเป็นการทดลองขับในสนามแข่งรถในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งก็ทำให้เห็นถึงตัวตนของรถในแง่มุมหนึ่ง แต่ครั้งนี้เรามีเวลาอยู่กับรถมากขึ้น ยาวนานขึ้น จนทำให้เรารู้จักกับเจ้า SUZUKI SWIFT ได้ในอีกหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน หรือจะเป็นการท่องเที่ยวเดินทางไกลบนเส้นทางที่ลาดชัน ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่หลาย ๆ คนกลัวว่ารถสไตล์อีโคคาร์ของตัวเองจะสามารถไปได้ไหม
เริ่มต้นเรามาทำความรู้จักกับ SUZUKI SWIFT GL PLUS กันก่อน โดยรถรุ่นนี้ถือเป็นรถรุ่นพิเศษที่ได้รับการตกแต่งชุดพาร์ทรอบคันมาจากทางค่ายซูซูกิ ซึ่งจุดนี้จะมั่นใจได้ถึงคุณภาพของอุปกรณ์ที่ได้ใส่เข้าไป ส่วนเรื่องความสวยงามก็เป็นเรื่องของรสนิยมความชอบส่วนตัวที่ต้องพิจารณากันเอาเอง แต่ส่วนตัวถือว่าโอเคนะ แค่หาล้อแม็กลายสวย ๆ โดนใจ มาเปลี่ยนแทนล้อเดิม… ก็จบล่ะ
ถ้าถามว่าทำไมถึงจะต้องเลือกซื้อรถที่แต่งมาแล้วจากค่ายรถ มุมมองนึงก็คือ ชุดพาร์ทที่เค้านำมาใส่ก็จะต้องสอบผ่านในเรื่องคุณภาพของสินค้า และชุดแต่งที่ใส่มาราคาก็รวมอยู่ในราคาตั้งขายของรถอยู่แล้ว ซึ่งถ้าซื้อผ่อนยอดก็จะรวมอยู่ในค่าผ่อน จึงไม่ต้องเสียเงินก้อนอีกจำนวนนึงเพื่อไว้แต่งรถ
ช่วง 3-4 วันแรก กับการใช้งานประจำวันในรูปแบบในเมือง ความประทับใจแรกเริ่มต้นจากจุดนี้ เนื่องจากรถที่มีรูปทรงกะทัดรัด จึงทำให้เกิดความคล่องตัวสูงเมื่อใช้งานในเมือง ยิ่งในพื้นที่ที่มีการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าที่มีการกั้น ปิดช่องจราจร หรือบีบช่องถนนให้เล็กลง ก็จะพบว่าเจ้าสวิฟท์สามารถไปได้อย่างคล่องตัว แถมช่วงล่างก็สามารถซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนที่พังยับจากการก่อสร้างได้ค่อนข้างจะดี
การเข้าตึกหาที่จอดรถในบริเวณใจกลางเมืองทำเลเศรษฐกิจ ที่มีพื้นที่จำกัด ก็ไม่ได้สร้างปัญหาหรือความลำบากให้กับเจ้าสวิฟท์… มันยังทำให้รู้สึกถึงความคล่องตัวในทุกพื้นที่ที่เข้าไป
จุดประทับใจต่อมากับเรื่องของอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง กับการใช้งานในเมืองกรุงที่เจอสภาพการจราจรหลากรูปแบบ หรือจะบอกว่าเกือบครบทุกรูปแบบเลยก็ได้ โดยตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยจะอยู่ที่ 13-23 กิโลเมตรต่อลิตร
เมื่อเห็นตัวเลขที่เราบอกก็อย่าเพิ่งตกใจว่าทำไมมันให้มากว้างแบบนี้… ใช่ครับมันเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงบนจอหน้าปัดในเรือนไมล์ ซึ่งแต่ละตัวเลขก็มาจากรูปแบบสภาพการจราจรที่แตกต่างกัน
โดยตัวเลข 13-14 กิโลเมตรต่อลิตร มันเกิดมาจากสภาพการจราจรที่ติดขัดแบบสาหัส รถติดนิ่งนาน และมีการขยับเคลื่อนตัวได้ทีละนิด เบรก ๆ เร่ง ๆ แบบที่รถเคลื่อนตัวไปไม่ได้ระยะทางซะเท่าไหร่
ตัวเลข 22-23 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าเป็นตัวเลขที่สามารถทำได้บ่อยในช่วงที่ได้รถทดสอบมา โดยการจราจรจะเป็นสภาพที่รถเยอะแต่ไม่ติดหยุดนิ่งนาน มีแค่ติดหยุดนิ่งเป็นช่วง ๆ การขับขี่ใช้ความเร็วไม่สูง แต่เคลื่อนตัวแบบไหล ๆ ได้เรื่อย ๆ ในหลายจังหวะ ซึ่งถ้าการจราจรติดขัดแบบปกติหรือหนักกว่าปกติไม่มาก ตัวเลขความสิ้นเปลืองเฉลี่ยยังไงก็จะไม่ลดลงต่ำกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งตัวเลขการใช้งานในเมืองแบบนี้ บอกเลยว่าเราแทบจะลืมพวกรถไฮบริดออกจากหัวเลย เพราะตัวเลขแทบจะไม่ต่างกัน
ตัวเลข 18-19 กิโลเมตรต่อลิตร มาจากช่วงการขับขี่ที่มีผู้โดยสารเต็มคัน 4 คน สภาพการจราจรไม่ได้ติดนิ่งนาน การเคลื่อนตัวของรถทำได้เรื่อย ๆ ด้วยความเร็วไม่สูง ซึ่งจุดนี้สันนิษฐานได้ว่า น้ำหนักบรรทุกมีผลค่อนข้างเยอะกับอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร
ซึ่งบทสรุปของการใช้งานในเมืองถือได้ว่าเป็นรถยนต์ที่มีความลงตัวที่ดีในการใช้งาน ให้ความคล่องตัวสูง และเด่นมากเรื่องอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งน่าจะดูดีเป็นลำดับต้น ๆ ในกลุ่มอีโคคาร์เมืองไทย และตัวเลขมันก็สวยงามจนแทบจะเมินพวกรถกลุ่มไฮบริดด้วยซ้ำ
เมื่อสอบผ่านฉลุยในเรื่องการใช้งานในเมือง ปัญหาที่มักพบเจอบ่อย ๆ ที่มีคนถามก็คือ วิ่งทางไกลต้องพักรถไหม? ขึ้นเขาไหวป่าว? ครั้งนี้เราเลยจัดเป็นทัวร์เขาค้อซะเลย โดยเป็นการเดินทางแบบรวดเดียวกว่า 400 กิโลเมตร ซึ่งจะมีการหยุดพักแค่แวะทานอาหาร เติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำเท่านั้น และสิ่งที่ต้องพักนั้นก็คือคนไม่ใช่รถ
การเดินทางไปเขาค้อครั้งนี้มีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งหมด 3 คน พร้อมสัมภาระอัดแน่นเต็มหลังรถ ในช่วงแรกความเร็วเดินทางจะอยู่ที่ช่วง 90-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 20-21 กิโลเมตรต่อลิตร (ขึ้นอยู่กับการใช้ความเร็วแค่ไหน) ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สวยงามเลยทีเดียว
แต่สำหรับการขับขี่ที่คนขับจะยืนพื้นความเร็วระดับ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขความสิ้นเปลืองจะตกลงมาอยู่แถว ๆ 16-17 กิโลเมตรต่อลิตร โดยในช่วงความเร็วระดับนี้ ช่วงล่างก็ยังทำงานได้เป็นอย่างดี ตัวรถนิ่งไม่มีอาการวูบวาบ หรือต้องเกร็งมือเพื่อบังคับพวงมาลัย ถือว่าเป็นรถคันเล็กที่ขับยืนพื้นด้วยความเร็วระดับนี้ได้อย่างสบาย ๆ
ถัดมาถือว่าเป็นข้อมูลเสริมสำหรับคนเท้าหนัก เป็นข้อมูลเพื่อแจ้งให้ทราบกันเฉย ๆ นะครับ สำหรับช่วงความเร็วเดินทางระดับ 140-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะลดลงมาอยู่แถว 10-11 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนอาการของตัวรถก็ยังนิ่ง คอนโทรลง่าย และยังไม่มีความวูบวาบให้หวาดเสียวแต่อย่างใด
ส่วนความเร็วสูงสุดที่บอกให้ทราบเป็นข้อมูลแต่ไม่แนะนำให้ไปลองทำกันเองก็คือ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ที่ผ่านมาคือการทดลองขับในทางเรียบ แต่เส้นทางไฮไลต์ถัดมาคือเส้นทางแบบขึ้นเขา เพราะเป็นเส้นทางช่วงสุดท้ายก่อนจะถึงที่พักในอำเภอเขาค้อ ซึ่งการขึ้นเขาขึ้นดอยมักมีคำถามมาเสมอว่าขึ้นไหวไหม? ขับขึ้นดอยได้ป่าว? ก็ขอตอบตรงนี้อีกครั้งนะครับว่า “ได้” ไม่มีปัญหาครับ
ช่วงทางขึ้นเขาแม้จะต้องแบกน้ำหนักของคน 3 คน พร้อมสัมภาระกองโต พลังของเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ที่ไร้ระบบอัดอากาศใด ๆ ก็ยังสามารถไต่ขึ้นเขาได้อย่างสบาย ๆ แม้บางช่วงจะมีความสูงชันมาก จนรู้สึกว่าเครื่องยนต์มีอาการหน่วงอย่างรู้สึกได้ แต่มันก็ยังไม่ได้เป็นปัญหาในการขับขี่แต่อย่างใด
จริง ๆ ถ้าจะให้เล่าแบบกันเอง… ช่วงขึ้นเขาในหลาย ๆ ช่วง เจ้าสวิฟท์ยังไล่แซงพวก PPV เจ้าตลาดแบบแซงหายไปหลายคันนะ ซึ่งจุดนี้ก็อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเขียนโอเวอร์เกินจริง! ใช่ครับ…เจ้าสวิฟท์ไม่ได้มีพละกำลังที่แรงกว่าพวก PPV เครื่องยนต์ดีเซลที่มีแรงบิดเยอะ ๆ หรอก แต่แค่จะสื่อว่าการขับอีโคคาร์ขึ้นเขา โดยเฉพาะเจ้าสวิฟท์มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวล เพราะถึงพละกำลังจะไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา และถ้าคุณมีทักษะและประสบการณ์มากพอ ตัวรถก็พร้อมที่จะพาคุณไล่แซงพวกรถใหญ่ที่มีพละกำลังเหนือกว่าได้แบบไม่ยาก
และจุดเด่นในช่วงการขับขึ้นเขาก็ยังยกให้กับเรื่องของการบังคับควบคุม และความรู้สึกที่ส่งมาให้ยังวงพวงมาลัย ช่วงล่างมีการยึดเกาะถนนที่ดีทำให้เกิดความมั่นใจและสนุกกับการเล่นโค้ง แฮนด์ลิ่งของพวงมาลัยที่มีความเฉียบคมและน้ำหนักที่รู้สึกชอบเป็นการส่วนตัว การขับขึ้น-ลงเขาที่จะต้องเจอโค้งจำนวนมาก ๆ โดยส่วนตัวจึงถือว่าเป็นความสนุกในการเดินทางที่สัมผัสได้จากเจ้ารถคันนี้
ซึ่งบทสรุปสำหรับเจ้า SUZUKI SWIFT GL PLUS สิ่งที่ชอบก็เป็นเรื่องของรูปร่างหน้าตา ความประหยัดในเรื่องของการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง การขับขี่ที่คล่องตัวและสนุกสนาน กำลังเครื่องยนต์แม้จะไม่แรงมาก แต่ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือนอกเมือง
ส่วนสิ่งที่อยากให้ปรับหรือมีเพิ่มเติมในรถรุ่นนี้ก็เช่น ระบบเครื่องเสียงที่ยังเป็นแบบ CD อยู่ และไม่สามารถเชื่อมต่อใด ๆ กับโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งตลอดเวลาที่เราอยู่กับเจ้ารถคันนี้ ระบบเครื่องเสียงของรถยนต์นี่ไม่ได้ใช้เลย ถัดมากับที่ท้าวแขนกลาง ซึ่งจะเห็นผลมากกับการขับขี่เดินทางไกลที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ๆ แม้ตัวเบาะจะนั่งสบาย แต่ก็มาเพลียตรงไม่มีที่ท้าวแขนกลางนี่แหละ
ในเรื่องของออฟชั่นที่มีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถยนต์กลุ่มเดียวกันในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ทางซูซูกิน่าจะต้องทำการแก้ไข เนื่องจากรถของค่ายตัวเองมีการเปิดตัวมาก่อนรถหลาย ๆ รุ่นที่เพิ่งออกกันมาไม่นาน จึงนับเป็นอีกหนึ่งจุดเสียเปรียบที่ต้องรอการแก้ไข
โดยรวมก็ถือว่าเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่มีความน่าใช้มากนะ แต่จะชอบหรือไม่ชอบ หรือจะมีเหตุผลในการตัดสินใจกันอย่างไร ก็แล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคลนะจ๊ะ