TOYOTA FORTUNER LEGENDER มีทั้งหมดสี่รุ่นย่อยโดยแบ่งเป็น LEGENDER รุ่น 2.8 เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคา 1,839,000 บาท, LEGENDER รุ่น 2.8 เกียร์อัตโนมัติราคา 1,769,000 บาท, LEGENDER รุ่น 2.4 เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคา 1,634,000 บาท และ LEGENDER รุ่น 2.4 เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,564,000 บาท
สำหรับทริปในการทดสอบครั้งนี้ทางโตโยต้าได้เชิญเหล่าสื่อมวลชนมาร่วมทดลองขับ TOYOTA FORTUNER LEGENDER รุ่นท็อป ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ การทดสอบได้แบ่งสื่อมวลชนเป็นสองกลุ่มโดยกลุ่มแรกจะเริ่มต้นออกจากกรุงเทพฯ สู่พัทยา และระหว่างทางก็จะมีการแวะทดลองขับกันที่เขาระเบิดซึ่งจะได้ลองกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในเส้นทางที่ชาวออฟโรดหลายหลายคนอยากลองเข้ามาสัมผัส ส่วนในกลุ่มที่สองก็จะขับกลับจากพัทยามุ่งสู่กรุงเทพฯ โดยระหว่างทางก็จะมีการแวะที่เขาระเบิดเพื่อลองในโหมดออฟโรดเช่นกัน
เริ่มต้นกับการดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นมากที่ด้านหน้า กระจังหน้ากันชนหน้าแบบใหม่ซึ่งให้ความรู้สึกสปอร์ตทันสมัยและหรูหราผสมกันได้อย่างลงตัว ส่วนไฟหน้าก็เป็นแบบ Full LED แบบ Dual Projector พร้อมเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ ส่วนไฟท้ายก็เป็นแบบใหม่ซึ่งเป็น LED Light Guiding ซึ่งการออกแบบโดยรวมของ TOYOTA FORTUNER LEGENDER ถือว่ามีความโดดเด่นอย่างลงตัว
ภายในห้องโดยสารยังคงสไตล์ในรูปแบบเดิม แต่เพิ่มเติมความรู้สึกที่หรูหราและน่าสัมผัสในการใช้งานมากขึ้น โดยการมาครั้งนี้ ได้ใส่หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้วที่รองรับ Apple CarPlay และแอนดรอยด์ออโต้ ซึ่งในการใช้งานจริงก็สามารถเชื่อมต่อได้อย่างง่ายดาย พร้อมกันนี้ยังได้ใส่อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย ซึ่งก็สามารถตอบโจทย์ของคนในสังคมยุคนี้ได้เป็นอย่างดี ส่วนจุดเด่นอีกอย่างก็จะเป็นลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง 11 ลำโพง ซึ่งน่าจะตอบสนองสายฟัง หรือคนที่ชอบสุนทรียภาพของเสียงเพลงได้ในทุกๆ การเดินทาง
ส่วนประตูท้ายที่เปิดปิดด้วยไฟฟ้าและมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ในการใช้งาน ก็น่าจะโดนใจพ่อบ้านแม่บ้านไม่ใช่น้อย แถมท้ายอีกนิดกับกล้องมองรอบคันของใหม่ของฟอร์จูนเนอร์ที่จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยแห่งความปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ใช้งานในเมือง หรือการออกไปลุยกันในโลกกว้าง
ครั้งแรกกับ T-Connect by Toyota กับระบบการเชื่อมต่อระหว่างตัวรถกับโทรศัพท์มือถือ ที่จะสามารถเช็คตำแหน่งรถ, ติดตามรถหาย, แจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากเขตที่กำหนดไว้, แจ้งเตือนเข้าศูนย์บริการพร้อมประสานงานนัดหมาย และพร้อมประสานงานช่วยเหลือเวลามีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เป็นต้น
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญกับการปรับปรุงเครื่องยนต์ 2.8 GD Super Power ที่ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์ถึงแม้จะเป็นบล็อกเดิมแต่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นระบบเทอร์โบแปรผัน (VN Turbo) หรือว่าการใส่เพลาปรับสมดุลย์ (Balance Shaft) เพื่อช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือน ซึ่งในเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ที่อยู่ในตัวกระบะรีโว่จะไม่มีระบบเพลาปรับสมดุลย์นี้
หลังทราบข้อมูลของตัวรถมาแบบพอสังเขปแล้ว เดี๋ยวลองเข้าสู่ช่วงลองขับจริงกันเลยดีกว่า ว่าการบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ของฟอร์จูนเนอร์ในครั้งนี้จะมีดีขนาดไหนบ้าง เริ่มต้นจากการขับขี่บนท้องถนนทั่วไป การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งถือว่าทำได้ดี พละกำลังมีมาให้ตั้งแต่การออกตัวที่รอบต่ำ จึงทำให้เกิดความคล่องตัวในการขับขี่ ส่วนนึงก็ยกความดีให้กับเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะ ที่อัตราทดมีความต่อเนื่อง และทำงานได้อย่างนิ่มนวล
การเรียกพลังออกมาใช้งาน ก็เพียงกดคันเร่งแบบไม่ต้องหนัก พลังของเครื่องยนต์ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว หรือการเร่งแซงที่ความเร็วเดินทาง ก็สามารถสั่งได้ตามน้ำหนักคันเร่งที่เท้าขวากดไป หรือถ้าอยากสนุกเพิ่มขึ้นก็ให้ปรับโหมดการขับขี่ไปที่ Sport แล้วการตอบสนองของคันเร่งและจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ก็จะถูกปรับเปลี่ยนไป รวมถึงการตอบสนองของพวงมาลัยด้วย แต่สิ่งที่คุณจะรู้สึกได้มากที่สุดก็จะเป็นเรื่องการตอบสนองของคันเร่ง ที่จะสั่งการให้เครื่องยนต์ทำงานได้รวดเร็วขึ้น
สำหรับอัตราความสิ้นเปลืองกับการขับขี่แบบเดินทางไกล ซึ่งลักษณะการขับขี่เป็นแบบผสมผสาน ช้าบ้าง เร็วบ้าง กดคันเร่งหนักๆ เพื่อลองสมรรถนะบ้าง ตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองที่แสดงบนมาตรวัดก็จะอยู่ที่ 10.4 กม./ลิตร
ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ ส่วนด้านหลังเป็นแบบโฟร์ลิงค์ ซึ่งครั้งนี้ต้องขอชมว่ามีการเซ็ทมาได้อย่างดี มีความโดดเด่นในเรื่องความนิ่มนวล มีการซับแรงกระแทก ซับแรงที่สะท้อนมาจากพื้นผิวถนนได้ดี ส่วนการขับขี่ในบางช่วงที่ต้องใช้ความเร็วในการเดินทาง หรือต้องรับมือกับโค้งหลายรูปแบบ ก็ถือว่า TOYOTA FORTUNER LEGENDER นั้นสามารถรับมือได้ดี ขับได้อย่างมั่นใจโดยไม่สร้างความกังวลให้เกิดขึ้นระหว่างการขับขี่ การดึงตัวรถให้เข้าไปโค้งก็ทำได้แบบเชื่องมือ และตอนที่เจอลมปะทะด้านข้างที่ความเร็วค่อนข้างสูง ตัวรถก็ยังคงมีความนิ่งแบบไม่เสียอาการ
ระบบ Lane Departure Alert คือระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน พร้อมกับจะมีการหน่วงกลับอัตโนมัติ ซึ่งระบบนี้จะช่วยรักษาให้ตัวรถอยู่ในเส้นทาง โดยการใช้ระบบเบรกช่วยลดความเร็วในบางล้อ เพื่อปรับให้ตัวรถกลับเข้ามาสู่ในเลน ซึ่งจะแตกต่างจากการทำงานของรถอื่นๆ ทั่วไป ที่จะใช้เป็นการดึงพวงมาลัย โดยทฤษฎีในการทำงานถือว่าดีและน่าสนใจมาก เพราะผู้ขับขี่จะไม่ต้องค่อยสู้กับพวงมาลัยที่จะมีการดึงในช่วงของการทำงาน
แต่สำหรับการใช้งานจริง โดยส่วนตัวยังไม่โอเคกับระบบนี้ เพราะในการทำงานต้องถือว่าจังหวะยังไม่เนียนพอ หลายครั้งของจังหวะในการทำงานทำให้ตกใจ เนื่องจากระบบนี้จะมีการดึงตัวรถกลับเข้าในเลนด้วยการใช้การเบรกในบางล้อและตัดกำลังของเครื่องยนต์ เพื่อให้ตัวรถอยู่ในเส้นของถนน โดยไม่ได้ใช้วิธีดึงหรือกระตุกเตือนที่พวงมาลัยเหมือนกับรถอื่นๆ ซึ่งในการทำงานจริงจะขัดความรู้สึก และฝืนความรู้สึกในการขับขี่ค่อนข้างมาก แถมในบางจังหวะที่เป็นทางโค้ง และตัวรถยังอยู่ในเลนปกติ ยังไม่ได้มีการแถ หรือมีการใกล้เส้นแบ่งถนน ระบบก็จะมีการทำงานแบบค่อนข้างรุนแรง จนทำให้ผู้ร่วมทดสอบบางคนตกใจกันเลยทีเดียว
โดยระบบนี้ได้มีการสอบถามรายละเอียดไปกับทางทีมวิศวกรของโตโยต้า ซึ่งก็ได้รับแจ้งกลับมาว่าเค้าตั้งใจทำมาให้เป็นแบบนี้ ซึ่งในการทำงานอาจจะมีการขัดความรู้สึกของผู้ขับขี่บางท่าน และอาจจะมีคนที่ชอบหรือไม่ชอบก็ได้ แต่ระบบนี้ก็สามารถปรับตั้งการทำงานได้ 2 จังหวะ ซึ่งจุดนี้ทางเราขอติดไว้บอกรายละเอียดวิธีปรับตั้งและความแตกต่างในการใช้งานจริงกันอีกครั้ง เนื่องจากในการทดสอบแบบกรุ๊ปเทสนั้นมีเวลาจำกัด
ช่วงถัดมากับการเข้าสู่เขาระเบิด เส้นทางครั้งนี้ถือว่ามีความโหดแบบพอสมควร ซึ่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อสายลุยกำลังเป็นที่ชื่นชอบ และเอาจริงๆ ถ้าไม่ใช่รถที่เปลี่ยนยางสำหรับการลุยมา (ยางแบบ mud-terrain) ก็น่าจะมีน้อยคนนักที่กล้าจะเข้ามาลุยในเส้นทางนี้ สำหรับเส้นทางที่เราเจอจะมีช่วงไฮไลต์เป็นทางดินนิ่มที่มีความลื่นสูง ซึ่งในการขับขี่จะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกไลน์ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ เนื่องจากถ้ามีการขับผิดไลน์ก็จะไม่สามารถขึ้นได้ แม้ว่าตัวรถจะมีระบบขับเคลื่อนและระบบตัวช่วยที่ดีก็ตามเถอะ
การขับในช่วงนี้จะต้องมีการปรับระบบขับเคลื่อนมาที่ L4 ก่อน จากนั้นก็ปล่อยให้รถเคลื่อนตัวไปด้วยรอบต่ำแบบไม่กดคันเร่ง โดยโตโยต้ามีการปรับเรื่องรอบเดินเบาจากเดิม 850 รอบต่อนาที ลงมาเหลือเพียงแค่ 650 รอบต่อนาที ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นของการขับขี่ที่จะสมูทขึ้น จากนั้นก็ต้องมีการเติมคันเร่งเพื่อเพิ่มแรงการขับเคลื่อนในตอนที่เจอกับดินนุ่มๆ ที่พร้อมจะดูดรถให้จมลงไป โดยอุปสรรคในช่วงแรกนี้ผ่านไปได้โดยไม่ยากนัก แม้จะมีอาการรถไถลดิ้นไปมาบ้างก็ตาม
ถัดมาลุยต่อเนื่องกับช่วงทางชัน งานนี้บอกเลยไม่หมู เพราะทางที่ขึ้นมีความชันค่อนข้างมาก แถมมีความลื่นสูง การตั้งหลักรถแล้วเร่งเครื่องด้วยความนิ่มนวลเข้าไป ต้องทำให้ถูกไลน์ของการขับขี่ด้วย และด้วยความลื่นจะทำให้รถเกิดอาการไถลไปทางซ้ายซึ่งเป็นหน้าผา ความตื่นเต้นเร้าใจก็เกิดขึ้นมากด้วยเช่นกัน
การขับขี่ครั้งแรกไม่สามารถขึ้นไปได้ เนื่องจากรถมีการไถลไปทางด้านซ้ายเยอะจนต้องเบรกหยุดรถ แล้วปล่อยไหลลงมาเพื่อตั้งลำรถกันใหม่ จุดการขับขี่ตรงนี้โดยปกติรถที่จะขึ้นต้องเป็นยางแบบลุย ไม่ใช่ยางที่ใช้บนถนนทางเรียบแบบนี้ แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องลุยต่อไปให้ได้
การขึ้นในครั้งที่สองมีการลื่นไถลมากกว่าเดิม จนทำให้รถเกือบขวาง ส่วนหนึ่งก็เกิดจากสภาพของพื้นผิวเส้นทาง ไลน์ และจังหวะในการขับขี่ ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีการปล่อยไหลลงมาเพื่อตั้งลำใหม่ แต่ช่วงปล่อยไหลลงมาตัวรถก็มีการขวางลำเนื่องจากสภาพเส้นทางแบบให้พอหวาดเสียวเล่นอยู่มากพอควร
ครั้งที่สามกับการขับขึ้น ครั้งนี้เล็งไลน์ใหม่ พร้อมกับการขับแบบปั๊มคันเร่งไปเรื่อยๆ เป็นจังหวะ โดยครั้งขึ้นไปได้อย่างสวยงาม
หลังจาการไต่ขึ้นไปได้ก็ยังต้องเจอกับเส้นทางโหดๆ ต่อ แม้พื้นผิวจะไม่ได้เป็นดินนุ่มๆ แต่ก็มีร่อง หลุม ที่มีขนาดใหญ่ และมีขนาดช่องทางเดินรถแบบพอดีคัน ซึ่งก็นับว่าเป็นเส้นทางที่ขับไม่ง่ายนัก แต่เจ้าฟอร์จูนเนอร์ก็สามารถผ่านอุปสรรคไปได้แบบไม่ยากเย็น แต่บางครั้งด้วยความแคบก็ทำให้ด้านข้างรถต้องมีการสัมผัสกับกิ่งไม้แบบเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็ทำให้เสียดายรถอยู่ไม่ใช่น้อย
แม้ว่าตัวรถจะมีฟังก์ชันแสดงตำแหน่งองศาล้อบนจอ MID แต่ในจังหวะขับขึ้นไปก็ไม่ทันได้ดู เพราะสายตาเน้นจับจ้องไปกับเส้นทางที่ขับ ส่วนระบบ A-TRC ที่ป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ Active กับระบบ Auto Limited Slip Differential นั้นได้ใช้แบบเต็มพิกัดอย่างแน่นอน
เชื่อว่าคนที่ซื้อรถไปในราคาเกือบสองล้านบาทก็คงมีน้อยคนนักที่จะกล้าเอารถไปลุยในเส้นทางแบบนี้ ซึ่งทางผู้เขียนเองก็คงไม่กล้าเอารถราคาแบบนี้มาลุยเช่นกัน แต่การทดลองขับครั้งนี้ก็ทำให้ได้รู้ว่า ถ้าในการเดินทางแล้วบังเอิญต้องพบเจอกับอุปสรรคหรือเส้นทางหฤโหดนอกเหนือความคาดหมาย TOYOTA FORTUNER LEGENDER ก็จะสามารถพาคุณเดินทางผ่านอุปสรรคและสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมาย เพื่อไปให้ถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย หรืออาจจะมองอีกมุมหนึ่งว่าการมีระบบตัวช่วยต่างๆ มากมาย แม้อาจจะดูเกินความจำเป็นไปบ้าง แต่ถ้าในกรณีที่มีเหตุการณ์จำเป็นระบบพวกนี้ก็พร้อมจะสแตนด์บายไว้ช่วยเหลือคุณให้ทุกการเดินทางมีความปลอดภัย
บทสรุปของ TOYOTA FORTUNER LEGENDER ก็ถือว่าเป็นรถยนต์แนวอเนกประสงค์ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของรูปร่างหน้าตา สมรรถนะ และออฟชั่นที่จัดมาให้แบบเต็มที่ ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของใครหลายคนได้อย่างตรงใจ และคุณเองก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น…