นิสสัน คิกส์ นับเป็นรถยนต์ที่มีความน่าสนใจมากในยุคปัจจุบัน เพราะเหมือนเป็นรถยนต์ที่กำลังใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบเติมน้ำมัน ไปสู่รถยนต์พลังไฟฟ้าแบบ 100% ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธไม่อย่างแน่นอน สำหรับโลกยานยนต์ในอนาคตอันอีกไม่ไกลนี้
เริ่มด้วยการออกแบบภายนอกซึ่งเรื่องความสวยงามเราจะไม่ขอพูดถึง เพราะยกให้เป็นเรื่องของรสนิยมความชอบของแต่ละบุคคล แต่ด้วยรูปทรงในการออกแบบส่วนตัวถือว่าดูดีและเหมาะกับการใช้งานของคนไทยโดยทั่วไป ตัวรถมีขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่โตเทอะทะ แต่ก็ไม่ดูเล็กจนน่าอึดอัดแบบนั่งไม่สบาย แถมความสูงของตัวรถก็น่าจะเพียงพอสำหรับการลุยบนถนนที่มีการก่อสร้าง หรือลุยน้ำที่รอการระบายซึ่งพบเจอได้บ่อยๆ ถ้าเจอฝนตก
เรียกว่าจากรูปทรงการออกแบบ ก็น่าจะตอบโจทย์การใช้งานของคนทั่วไปได้เป็นอย่างดี
ก้าวเข้าสู้ภายในห้องโดยสาร ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความเป็นนิสสัน ซึ่งโดยส่วนตัวก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับการออกแบบ แต่สำหรับบางคนก็ได้ยินเสียงสะท้อนมาว่า อยากให้มีความหรูหรามากกว่านี้ เพราะยังให้ความรู้สึกเหมือนรถยนต์ในตระกูลที่มีราคาต่ำกว่า ซึ่งเรื่องความชอบก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องของนานาจิตตัง แต่เอาเป็นว่าโดยรวมๆ เราคิดว่ามันก็โอเคทั้งในเรื่องความกว้างขวาง การดีไซน์ และการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ในการใช้งาน
แต่โดยส่วนตัวมีติดอยู่นิดนึง สำหรับตำแหน่งที่เท้าแขนในตำแหน่งคนขับ โดยทั้งตำแหน่งที่ท้าวแขนตรงคอนโซลกลางและตรงแผงประตูมันอยู่ต่ำเกินไปเยอะ (สำหรับผม) ทำให้การขับขี่แบบเดินทางไกล หรือตอนรถที่ติดนานๆ ต้องหาเหลี่ยมสำหรับไว้พึ่งพิงแก้เมื่อยแบบไม่ค่อยจะลงตัวนิดหน่อย
สำหรับรูปทรงและการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน ส่วนตัวยังถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องไฮไลต์สำหรับรถยนต์รุ่นนี้ แต่ไฮไลต์สำหรับมันอยู่ที่เทคโนโลยีของการขับเคลื่อน โดย นิสสัน คิกส์ ได้นำระบบ e-Power เข้ามาให้คนไทยรู้จัก ซึ่งก็เรียกเสียงฮือฮาได้มากพอสมควร หลังจากได้นำรถยนต์พลังไฟฟ้าแบบ EV เข้ามาให้สัมผัสกันในช่วงก่อนหน้านี้แล้วกับนิสสัน ลีฟ
ปัญหาของรถยนต์ไฟฟ้าแบบ EV ยุคปัจจุบันในประเทศไทยก็คือ เรื่องการชาร์จไฟที่ยังมีสถานีรองรับไม่ทั่วถึง รวมถึงระยะเวลาในการชาร์จที่ยาวนาน และระยะทางของตัวรถที่วิ่งได้ก็ยังไม่มากพอสำหรับการเดินทางไกลๆ ซึ่งในหลายๆ สถานที่ยังไม่มีตู้ชาร์จในการรองรับ
ดังนั้นระบบ e-Power จึงเข้ามาเพื่อแก้ปัญหานี้ สำหรับยุคเริ่มต้นของการเปลี่ยนถ่ายไปยังรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัว เพราะระบบ e-Power คือรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าที่มีเครื่องชาร์จไฟในตัว โดยใช้เครื่องยนต์เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังงาน หรือจะให้พูดสั้นๆ ก็คือ e-Power คือ “รถยนต์ไฟฟ้า ที่มีเครื่องยนต์ไว้ปั่นไฟ” นั่นเอง
แล้วแบบนี้มันจะมีประโยชน์อะไร? นี่ก็คงเป็นคำถามของใครหลายคนที่ผมเคยได้ยิน ซึ่งคำตอบในมุมมองของผมก็คือ ประโยชน์เยอะเลยครับ ทั้งในเรื่องของสมรรถนะในการขับขี่ อัตราเร่งที่เป็นเยี่ยม การตอบสนองของคันเร่งที่รวดเร็ว การเรียกกำลังแบบใช้เวลารอรอบน้อยกว่าพวกรถที่ใช้เครื่องยนต์เยอะ
หรือคนที่อยากขับรถไฟฟ้า แต่ไม่อยากปวดหัวหรือกังวลเรื่องการหาที่ชาร์จไฟ ระบบ e-Power นี่แหละคือตัวตอบโจทย์เลย
ส่วนเรื่องอัตราความสิ้นเปลืองอันนี้อยู่ที่ลักษณะการใช้งาน และพฤติกรรมของคนขับเป็นหลักเลยครับ เดี๋ยวผมจะค่อยๆ ไล่อธิบายให้อ่าน รวมถึงข้อเสียที่น่าคิดด้วย เพราะของทุกสิ่งมีหลายแง่มุมให้มอง
ความแจ๋วของสมรรถนะกับอัตราเร่งที่มีความโดดเด่นตามสไตล์ของรถที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. สามารถทำตัวเลขเวลาสวยๆ ที่ 9.2 วินาที ซึ่งโดยส่วนใหญ่รถที่มีรูปทรงประเภทเดียวกัน ตัวเลขเวลาก็จะอยู่ในระดับ 10 วินาทีขึ้นไป
การเร่งแซงในการเดินทางเป็นสไตล์กดแล้วมา การเรียกพลังทำได้ง่ายๆ รวดเร็วทันใจ จึงทำให้เกิดความมั่นใจในการขับขี่ และให้ความปลอดภัยในการเร่งแซงที่ดีเลย
สำหรับการเดินทางไกลที่ยืนพื้นความเร็วในระดับ 110-120 กม./ชม. ตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองจะอยู่ที่ประมาณ 18-19 กม./ลิตร โดยการทดลองขับครั้งนี้ต้องขอบอกก่อนว่า เราขับขี่แบบตามการใช้จริง ในสไตล์ของคนเท้าหนักไม่มีการเน้นเพื่อทำตัวเลขเพื่อความประหยัด เพราะเราไม่ต้องการปั้นตัวเลขสวยๆ เพื่อเอาใจนิสสัน แต่ต้องการรายงานตามความเป็นจริงกับลักษณะเงื่อนไขการใช้งานแบบนี้ เพื่อให้เป็นอีกมุมมองสำหรับผู้บริโภค
พอเข้าช่วงทางชันบนถนนมิตรภาพ กับการขับขี่ลักษณะเดิม ตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองก็จะหล่นมาอยู่ที่ประมาณ 17 กม./ลิตร
ถัดมากับการเดินทางระดับความเร็วแช่ยาวที่ประมาณ 140 กม./ชม. อัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยก็จะหล่นมาอยู่ที่ 15 กม./ลิตร
โดยตัวเลขที่ได้นี้จะเป็นการเฉลี่ยตลอดการเดินทางประมาณสี่ร้อยกว่ากิโลเมตร โดยช่วงแรกมีการวิ่งในเมืองระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร กับการจราจรแบบรถติดหนักๆ แล้วต่อด้วยการเดินทางไกลระยะทางประมาณสองร้อยกว่าๆ กิโลเมตร โดยจะใช้ช่วงความเร็วระดับ 110-120 กม./ชม. แล้วช่วงร้อย (กว่าๆ) กิโลเมตรหลังความเร็วจะยืนพื้นอยู่ที่ราวๆ 140 กม./ชม.
ถัดมากับการเดินทางรอบใหม่ หลังจากเติมน้ำมันเต็มถังแล้วเซ็ท 0 ของค่าเฉลี่ยทุกอย่างใหม่ กับการเดินทางไกลแบบความเร็วสูง โดยยืนพื้นเฉลี่ยความเร็วขั้นต่ำที่ 140 กม./ชม. และบางช่วงก็มีลองท๊อปสปีดที่บนเรือนไมล์เข็มจะชี้ที่ 165 กม./ชม. แต่ความเร็วจริงตามระบบ GPS จะอยู่ที่ 158 กม./ชม. โดยใช้โหมด D ในการขับขี่ เป็นระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนหน้าปัดก็จะแสดงอยู่ที่ 8.5 กม./ลิตร หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนโหมดการขับขี่มาเป็น ECO กับระยะทางที่เหลืออีกประมาณ 200 กิโลเมตร กับการขับขี่ในลักษณะเดิม
อัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยกับระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ตัวเลขบนหน้าปัดจะแสดงออกมาที่ 10.6 กม./ลิตร ซึ่งจุดนี้ทำให้เห็นว่า ในโหมด ECO ได้มีการจัดสรรการใช้พลังงานได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่การตอบสนองในเรื่องของสมรรถนะไม่ได้แสดงออกให้เห็นถึงความแตกต่างกับการขับขี่ในลักษณะแบบนี้
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อย่าเพิ่งตกใจและคิดว่าเจ้า นิสสัน คิกส์ มันซดน้ำมัน เพราะบอกแล้วของทุกสิ่งมีหลายแง่มุม และทาง Drive Motoring ก็ได้พยายามแสดงให้เห็นในบางแง่มุมที่คุณอาจจะไม่เคยเห็นไม่เคยได้สัมผัส
ตามความรู้สึกของเราชาว Drive Motoring หลังจากที่ได้สัมผัสกับรถยนต์รุ่นนี้อยู่ 3-4 วัน ก็พอจะสรุปได้ประมาณนี้คือ นิสสัน คิกส์ นั้นเป็นรถยนต์ที่มีความอเนกประสงค์ ด้วยลักษณะตัวรถสามารถตอบสนองการใช้งานทั่วไปได้อย่างหลากหลาย สามารถลุยได้แบบเบาๆ จากความสูงของตัวรถที่มีให้แบบพอประมาณ
เป็นรถที่ขับสนุกเพราะนอกจากสมรรถนะที่ได้รับจากมอเตอร์ไฟฟ้าแล้ว ในเรื่องของช่วงล่างก็มีความโดดเด่น ซึ่งจุดนี้ต้องขอชมกับการเซ็ทช่วงล่างจากนิสสัน ที่สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม ช่วงล่างมีความนิ่นนวลไม่แข็งกระด้าง แต่กลับให้การยึดเกาะถนนที่อยู่ในระดับที่ดีมาก พวงมาลัยน้ำหนักกำลังดีและมีความคมสูง เมื่อเจอโค้งก็สามารถคอนโทรลให้เข้าแบบเนียนๆ ได้ง่าย
และเมื่อสมรรถนะที่ดีของระบบขับเคลื่อนและช่วงล่างประสานการทำงานร่วมกัน จึงไม่แปลกใจว่า นิสสัน คิกส์ จะเป็นรถที่ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ ในช่วงจังหวะที่คุณต้องการ และจะเป็นรถที่ใช้งานแบบสบายๆ ยามที่คุณต้องการขับรถแบบปกติ
ส่วนเรื่องอัตราความสิ้นเปลืองนั้นเป็นเรื่องเฉพาะของผู้ขับขี่เลย เพราะเท่าที่ลองขับในหลากหลายรูปแบบ ตัวเลขที่เห็นก็มีตั้งแต่ 8-20 กม./ลิตร ส่วนคนอื่นๆ เท่าที่เห็นเค้าสามารถทำได้ถึง 25-26 กม./ลิตร กันเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร!? คำตอบก็คือรถยนต์รุ่นนี้มีพื้นฐานของความประหยัดสูง คุณสามารถใช้งานมันอย่างประหยัดๆ ได้ ถ้าคุณรู้จักมันดีพอ โดยจุดประสงค์ของการออกแบบรถยนต์รุ่นนี้ก็คือ เน้นในการขับขี่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก วิ่งๆ เบรกๆ หยุดๆ ซึ่งในการขับขี่ในเมืองนั้นเราจะสามารถเห็นตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองป่วนเปี้ยนอยู่แถว 20 กม./ลิตร ได้แบบไม่ยาก
ส่วนถ้าใครเน้นเดินทางไกลด้วยความความเร็วสูงๆ หรือชอบสนุกกับการขับขี่ด้วยความเร็วในการเดินทาง ก็อย่าได้คาดหวังกับเรื่องความประหยัดนัก
ทั้งนี้ก็เนื่องจากขนาดแบตเตอรี่ที่จะจ่ายไฟให้มอเตอร์ไฟฟ้านั้นมีขนาดเล็ก ดังนั้นเมื่อต้องความเร็วสูงๆ หรือเรียกพลังแบบหนักๆ ติดต่อกัน ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ก็จะหมดไว เครื่องยนต์ที่เป็นต้นกำลังในการผลิตไฟฟ้าก็ต้องทำงานหนักและใช้รอบสูง ดังนั้นเมื่อไฟถูกดึงไปใช้เยอะและเร็ว เครื่องปั่นไฟก็ต้องทำงานหนักตาม แต่ถ้ามีการเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โอกาสที่เครื่องปั่นไฟจะทำงานช้าลง หรือในรอบที่ต่ำลงก็เป็นไปได้สูง ซึ่งก็จะช่วยให้เกิดการประหยัดน้ำมันตามมา แต่การเพิ่มขนาดของแบตเตอรี่ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงมากเช่นเดียวกัน
กลับกันสำหรับการใช้งานในเมืองที่ใช้ความเร็วไม่สูง มีการชะลอ เบรก หยุดบ่อยๆ ตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองกลับสวยหรู นั่นก็เพราะว่าเมื่อรถมีการเคลื่อนที่ที่ความเร็วต่ำ อัตราการกินไฟของมอเตอร์ไฟฟ้าก็มีจำนวนน้อย แถมช่วงชะลอหรือเลียเบรก ก็ยังมีการผลิตกระแสไฟฟ้ากลับเข้าไปในตัวแบตเตอรี่ ดังนั้นเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นไฟฟ้าจึงทำงานน้อยลง รวมถึงการใช้รอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลงด้วย
“เพราะแบตเตอรี่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้องการของมอเตอร์ไฟฟ้า ดังนั้นเมื่อมันมีความสมดุลตามลักษณะการใช้งาน ความประหยัดจึงเกิดขึ้นให้เห็นได้อย่างชัดเจน”
ดังนั้นถ้าเรารู้จุด และจังหวะในการขับขี่ของรถยนต์รุ่นนี้ ก็จะทำให้เราได้ทั้งความสนุกและความประหยัดควบคู่กันไป หรือจะเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งก็ได้แล้วแต่ความต้องการ
เพิ่มเติมอีกนิดสำหรับเทคโนโลยีล้ำสมัยแบบนี้ นอกจากจุดดี จุดเด่นต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีอีกมุมที่อยากฝากไว้ให้คิดสำหรับใครที่คิดจะใช้รถแค่ 4-5 ปี ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่สำหรับใครที่จะใช้ยาวกว่านั้น เนื่องจากตัวรถยนต์มีทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ แน่นอนว่าการดูแลรักษา หรือโอกาสที่จะเสียก็ย่อมมีมากกว่ารถยนต์ที่มีระบบน้อยกว่า รวมถึงค่าบำรุงรักษาที่ถ้าถึงเวลาจริงๆ แล้วอาจจะต้องเสียเงินมากกว่าด้วย ซึ่งจุดนี้ทิ้งท้ายเป็นข้อมูลให้คิดในอีกมุมหนึ่งด้วย
แต่ถ้าถามถึงแค่ตอนนี้ ตรงนี้ ก็ถือว่า Nissan Kicks เป็นรถยนต์ที่มีความน่าสนใจสูง มีสมรรถนะในการขับขี่ที่ดี อัตราเร่งดี ช่วงล่างเยี่ยม ลักษณะตัวรถตอบโจทย์การใช้งานด้วยความอเนกประสงค์ ออฟชั่นและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ให้มามีความโดดเด่น และเมื่อเทียบกับราคาที่วางจำหน่าย (889,000-1,049,000บาท) ก็นับว่าให้ความรู้สึกคุ้มค่าเมื่อเทียบกับรถยนต์กลุ่มเดียวกันในปัจจุบัน
ท่านผู้อ่านลองเอาข้อมูลอีกหลายๆ ด้านจากบทความนี้และจากที่อื่นๆ ไปลองร่วมพิจารณากันอีกที ก่อนการตัดสินใจในการเลือกซื้อครับ