สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์หรูในราคาเริ่มต้นแบบย่อมเยาว์ (ในแบบยุโรปนะ) A200 Progressive จากค่าย Mercedes-Benz ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีราคาอยู่ในระดับไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับรถหรูขนาดกลางจากฟากญี่ปุ่นโดยมีราคาส่วนต่างที่ไม่มากนัก แม้ตัวรถจะมีขนาดที่เล็กกว่า และออฟชั่นต่าง ๆ จะน้อยกว่า แต่ด้วยภาพลักษณ์ของความเป็น Mercedes-Benz ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องชั่งใจดู
สำหรับ Mercedes-Benz A200 จะมี 2 รุ่นย่อยให้เลือก นั่นคือ A200 Progressive ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นกับราคา 1,990,000 บาท และรุ่น A200 AMG Dynamic ที่มีชุดแต่งและออฟชั่นที่มากกว่า กับราคา 2,150,000 บาท ซึ่งความแตกต่างของราคากับของที่ได้ คุณก็ต้องมาพิจารณาต่อว่าความต้องการของคุณเป็นอย่างไร อยากได้กับความแตกต่างที่ให้หรือเปล่า ถ้าสิ่งที่ได้เพิ่มตรงกับความต้องการของคุณก็ถือว่าคุ้มที่จะเพิ่มเงิน
การออกแบบภายนอกในเรื่องของความสวยงาม จุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมความชอบของแต่ละบุคคล แต่ขนาดของตัวรถซึ่งไม่ใหญ่โต โดยส่วนตัวผมคิดว่ามันกำลังดีสำหรับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน คือ ให้ความคล่องตัวสูง ไม่เทอะทะ จอดง่าย และคิดว่าสาว ๆ น่าจะชอบแนวนี้
แต่ถ้าใครเปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อดูหน้าตาเครื่องยนต์ แล้วต้องมาสะดุดสายตากับแผ่นกันความร้อนใต้ฝากระโปรงหน้าที่หายไป ก็ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะทางเยอรมันแจ้งว่าไม่มีความจำเป็นสำหรับการใช้งาน และก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรกับตัวรถ แต่ถ้าคุณไม่สบายใจ ตอนจะซื้อรถก็บอกเซลส์ไป เดี๋ยววันรับรถเค้าก็หามาแปะให้ แต่บอกก่อนว่ามันไม่มีของออริจินอลตรงรุ่นจากโรงงานนะครับ
ภายในห้องโดยสารถือว่ามีการออกแบบได้หรูหรา สวยงาม และล้ำสมัย จอดิสเพลย์ขนาดใหญ่และยาว มองดูง่ายชัดเจน และมีลูกเล่นในการปรับตั้งค่าต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ถือว่าเป็นการดีไซน์ที่ผสมผสานระหว่างความหรูหรากับความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว แต่แน่นอนว่าในเรื่องของความหรูหราก็จะถูกลดทอนตามรุ่นและราคาค่าตัว เมื่อเทียบกับพี่ ๆ ในค่ายเดียวกัน แต่โดยรวมก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว
พื้นที่โดยสารทางตอนหน้าให้ความสบายและมีพื้นที่ตอบสนองการใช้งานได้เป็นอย่างดี ตำแหน่งผู้ขับขี่โดยส่วนตัวถือว่าลงตัวทั้งในเรื่องของท่านั่ง และทัศนวิสัย ตำแหน่งการสั่งการหรือควบคุมระบบต่าง ๆ สามารถทำได้ง่าย ตำแหน่งอยู่ไม่ไกลและไม่ซับซ้อนในการใช้งาน ส่วนพื้นที่ด้านหลังก็กว้างขวาง นั่งสบาย สามารถตอบโจทย์การเดินทางแบบครอบครัวได้อย่างลงตัวในแบบคนไทยไซส์ปกติ
แต่ไม่มีช่องแอร์ที่ด้านหลังนะ ส่วนช่อง USB มีมาให้ 2 ช่อง แบบ Type C นะ
อ่อ… เบาะไฟฟ้าด้านหน้ามีให้แต่ด้านคนขับ (พร้อมเมม 3 จุด) ส่วนเบาะคนนั่งเป็นแบบปรับมือ ซึ่งส่วนตัวไม่ติดอะไร ถ้ามันจะปรับได้ง่ายกว่านี้อีกซะหน่อย
แม้ออฟชั่นบางอย่างจะถูกลดทอนลงไป แต่ที่ให้มา โดยส่วนตัวก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เพราะบางทีการที่มีออฟชั่นมาให้มากมาย หลาย ๆ สิ่งก็แทบไม่ได้ใช้ หรือไม่ได้ใช้เลย แต่จุดนี้ไม่ว่ากัน เพราะถ้าใครเงินเหลือ ๆ จะจ่ายเพื่อให้มีของเยอะ ๆ ไว้ก่อนก็ไม่แปลก เพราะการมีเหลือแล้วไม่ได้ใช้ ก็ย่อมดีกว่าตอนจะใช้แล้วดันไม่มี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานภาพของเงินในบัญชีคุณเป็นหลักนั่นแหละ
ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์แบบดาวน์ไซส์ตามยุคสมัย ซึ่งเป็นเบนซินแบบแถวเรียง 4 สูบ ขนาด 1,332 ซีซี ที่พ่วงด้วยระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร โดยส่งกำลังไปที่ล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (7G-DCT) ซึ่งทีแรกส่วนใหญ่ถ้าใครเห็นสเปคความจุเครื่องยนต์ที่มีขนาดแค่ “พันสาม” ความรู้สึกแรกอาจจะคิดว่ามันจะไหวเหรอ !? แต่ถ้าพิจารณาต่อจากตัวเลขแรงม้าและแรงบิด โดยที่ยังไม่ได้ลองขับ ก็คิดว่าน่าจะพอไหวแหละ
“สิบตาเห็น ไม่เท่าการทดลองขับ” เพราะสิ่งที่จะทำให้เรารู้ถึงความเป็นจริงของรถยนต์ได้ดีที่สุด ก็คือการ “ขับ” นั่นเอง โดยในช่วงแรกผมได้ลองขับในเมืองตามสภาพการใช้งานจริง ซึ่งก็ต้องบอกว่าเจ้าMercedes-Benz A200 Progressive คันนี้มีความจัดจ้านไม่ธรรมดา อัตราเร่งมีมาให้เรียกใช้ตามเท้าในแบบคนใจร้อนเท้าหนักไม่น่าบ่น
อัตราเร่งที่ดี เรียกออกมาใช้ได้ง่าย บวกกับขนาดของตัวรถไม่ใหญ่โตมโหฬาร จึงทำให้เกิดความคล่องตัวอย่างสูงในการขับขี่ และน่าจะทำให้ใครหลายคนลืมความกังวลกับขนาดของเครื่องยนต์ที่อยู่แค่ “พันสาม” ไปเลย
เพื่อความชัดเจนตามสไตล์ของ Drive Motoring ที่จะมีการทำการทดสอบตัวเลขของอัตราเร่ง เพื่อที่จะได้ค่าอันเป็นมาตรฐานจริง สำหรับการวิเคราะห์ในเรื่องราวอื่น ๆ ได้อย่างต่อเนื่องและถูกต้อง โดยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ทางโรงงานเคลมไว้ที่ 8.1 วินาที แต่สำหรับการทดลองจับตัวเลขเวลาจากเครื่องมือทดสอบที่เป็นมาตรฐานของเรา จะได้ตัวเลขที่ 8.9 วินาที กับสภาวะการเปิดแอร์เย็นฉ่ำ (25 องศา) โดยอุณหภูมิภายนอกจะอยู่ที่ราว ๆ เกือบ 40 องศา บวกแทรคชั่นทำงานช่วงออกตัว และเวลาในการวิ่งคลอเตอร์ไมล์ (0-402 เมตร) อยู่ที่ 16.6 วินาที
ซึ่งตัวเลขทดสอบจากการขับขี่จริงก็ถือว่า ใกล้เคียงกับตัวเลขเคลมจากโรงงาน อันนี้ต้องถือว่าค่ายเบนซ์ไม่ขี้คุย ไม่เคลมตัวเลขโอเวอร์สเปค เพราะความต่างของเวลาเพียงหลักเสี้ยววินาทีนี้ มันก็มีในเรื่องของตัวแปรต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพของเชื้อเพลิง สภาพของเส้นทางและพื้นผิวถนนในการทดสอบ อุณหภูมิ ณ เวลาในตอนนั้น รวมถึงตัวผู้ขับขี่ด้วย และยังมีตัวแปรอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นค่าตัวเลขจากการทดสอบที่ต่างกันเพี้ยงหลักเสี้ยววินาที จึงถือว่าไม่ได้มีผลในความเชื่อใจของตัวเลขที่มาจากโรงงานของเบนซ์เลย
ถัดมา… เนื่องจากช่วงนี้พอมีเวลาในการขับรถแบบทางยาว เลยถือโอกาสทำความรู้จักกับเจ้า Mercedes-Benz A200 Progressive ให้มากขึ้นอีกนิด โดยครั้งนี้จะใช้ระยะทางประมาณ 450 กิโลเมตร โดยใช้ความเร็วในช่วง 80-120 กม./ชม. ซึ่งขึ้นอยู่กับตามลักษณะการจราจร โดยไม่ขับช้าให้เป็นภาระเพื่อนร่วมทาง และก็ไม่ได้ใช้ความเร็วเกินจากที่กฎหมายกำหนด (ยกเว้นการเร่งแซงช่วงสั้น ๆ ในบางครั้ง) ซึ่งสิ่งที่สร้างความประทับใจให้เราเป็นอย่างมาก นั่นก็คือตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองบนหน้าปัดที่ 5.3 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือมากดเครื่องคิดเลขคำนวณในแบบที่คุ้น ๆ กันก็จะได้ตัวเลขที่ 18.86 กม./ลิตร
ซึ่งจากการทดลองขับที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าเจ้าเครื่องยนต์ “พันสาม” ตัวนี้มีความแจ๋ว เพราะมันสามารถให้ความประหยัดในการเดินทางได้เป็นอย่างดี เรียกว่าตีรถรวดเดียว กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ แบบถังเดียวไม่หมด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปลายเท้าคนขับด้วยนะครับ เพราะถ้าใช้คันเร่งหนัก ใช้คันเร่งเปลืองตลอด ค่าของอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็จะเปลี่ยนไป และในอีกมุมถ้าต้องการความสนุกสนานในการขับขี่ หรือมีเหตุต้องเรียกใช้ความเร็ว เจ้าเครื่องยนต์ตัวนี้ก็สามารถจะตอบสนองการใช้งานได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าถ้าอยากจะสนุกกับเครื่องยนต์ตัวนี้ ก็ลืมตัวเลขอัตราความประหยัดไปได้เลย
สรุปความแจ๋วของเจ้าเครื่องยนต์ตัวนี้ก็คือ คุณสามารถจะขับแบบประหยัดก็ได้ หรืออยากจะสนุกกับความจัดจ้านของมันก็ได้ (แต่ก็ต้องแลกกับอัตราความสิ้นเปลืองนะ)
สำหรับเรื่องของช่วงล่างในการใช้งานแบบทั่วไป ถือว่าอยู่ในเกณฑ์นุ่มนั่งสบายซึ่งน่าจะตอบสนองการใช้งานของคนส่วนใหญ่ทั่วไปได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับพวกแฟนพันธุ์แท้เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือคนที่ขับเบนซ์มานาน ก็อาจจะรู้สึกบางอย่างในเรื่องของความนุ่มแน่นที่หายไป ซึ่งอาการนี้ผมเชื่อว่าถ้าใครเพิ่งเคยมาขับรถเบนซ์ ก็ไม่น่าจะรู้สึก อารมณ์ที่ต่างกับพวกเบนซ์ขับหลัง หรืออารมณ์ในส่วนลึกเดิมๆ ของรถยนต์ในตระกูลเบนซ์
แต่ถามว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ไหม!? คำตอบก็คือ ไม่น่าใช่เรื่องใหญ่ครับ แค่จะเป็นเรื่องความรู้สึกบางส่วนของผู้ใช้เบนซ์มาอย่างยาวนานและต่อเนื่องเท่านั้นเอง
การตอบสนองของช่วงล่างถือว่าให้ความมั่นใจได้ดีเมื่อใช้ความเร็ว พวงมาลัยมีความเฉียบคมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี การเข้าโค้งโหด ๆ ที่ความเร็วค่อนข้างสูงก็สามารถทำได้ไม่ยาก ถ้าคุณทำความรู้จักกับนิสัยของตัวรถได้ดีพอ แต่ถ้าคุณเป็นพวกชอบขับเร็ว ๆ โหด ๆ อยู่เป็นประจำ ก็อาจจะต้องอัพเกรดช๊อคอัพ+สปริง เพื่อความมั่นใจขึ้นอีก (ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก) แต่โดยส่วนตัวถือว่าช่วงล่างให้มาพอกับการใช้งานแล้วหล่ะ จะขับโหด ๆ ก็เอาอยู่นะ แต่คุณต้องเข้าใจลักษณะนิสัยและทำความคุ้นเคยกับตัวรถให้ดีพอก่อน แล้วคุณก็จะสนุกกับการควบคุมมัน
บทสรุป Mercedes-Benz A200 Progressive ถือว่ามีความน่าสนใจในเรื่องของราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่าสองล้านบาท กับออฟชั่นที่มีมาให้แบบพอประมาณ สมรรถนะการขับขี่ที่น่าจะเกินพอสำหรับใครหลาย ๆ คน และความเป็นแบรนด์หรูที่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของผู้ขับขี่ ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องจริงที่ยังต้องยอมรับอยู่ในยุคปัจจุบัน