เริ่มต้นกับชื่อกันก่อนเลย ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะติดปากเรียกรถยนต์แบรนด์นี้ว่าออโร่ แต่การออกเสียงของชื่อแบรนด์นี้จริง ๆ ต้องออกเสียงว่า “โอร่า” ส่วนใครจะมีสำเนียงที่แตกต่างไปจากนี้อีกนิดหน่อย ก็ว่ากันตามสะดวก
การออกแบบภายนอกซึ่งต้องนับเป็นจุดเด่นแรกที่สะดุดสายตา และโดนใจใครหลาย ๆ คนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรีสาว ๆ และยังลามไปเตะใจคุณสุภาพบุรุษอีกจำนวนไม่น้อย ส่วนถ้าใครจะบอกว่ามันเหมือนปอร์เช่ย่อส่วนก็ไม่แปลก เพราะจริง ๆ แล้วทีมออกแบบเจ้าแมวดีรุ่นนี้ ก็มาจากทีมที่ออกแบบ 911 ของค่ายปอร์เช่นั่นแหละ
ส่วนรูปทรงและเส้นสายด้านข้างส่วนตัวไม่ได้มีความรู้สึกโดดเด่นซะเท่าไหร่ แต่จะไปสะดุดสายตาอีกทีกับการออกแบบด้านท้ายที่ดูกลม ๆ และล้ำสมัย เรียกว่าโดยรวมของรูปทรงนั้นสร้างกระแสความต้องการของคนไทยได้ดีพอสมควร
การออกแบบภายในนับว่าไม่ธรรมดา แม้จะมีกลิ่นอายจากรถยนต์หลายรุ่นมาผสมรวมกัน แต่โดยรวมก็ถือว่าทำออกมาได้ดี และวัสดุที่นำมาใช้ก็เป็นวัสดุที่ดีทั้งจากการดูด้วยสายตา และการจับสัมผัสด้วยมือ แม้ว่าเนื้อพลาสติกที่แผงประตูหลังจะคนละเนื้อซึ่งสัมผัสแล้วมันแข็งกว่าของด้านประตูหน้า แต่โดยรวมส่วนตัวก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
เบาะคู่หน้านั่งสบาย เนื้อที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง แต่ในส่วนของเบาะหลังที่เหมือนจะมีพื้นที่กว้างขวางเช่นกัน แต่ในการทดลองขับครั้งนี้ เรามีสมาชิกร่วมเดินทางเป็นชายไทยไซส์ใหญ่ ความสูงราว 178 เซนติเมตร นั่งโดยสารอยู่ที่เบาะหลัง ซึ่งก็ให้คอมเมนท์ว่านั่งไม่ค่อยสบายนัก แม้ว่าเนื้อที่บริเวณเฮดรูมจะยังเหลือ แต่ในส่วนของเบาะนั่งนั้นเตี้ยและสั้น ทำให้ต้องนั่งชันเข่า และเค้ารู้สึกค่อนข้างนั่งไม่สบาย แต่อีกมุมนึงก็อาจจะแก้ไขด้วยการยืดขาแล้วสอดเท้าเข้าไปบริเวณใต้เบาะนั่งคู่หน้าก็ได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับนึง
โดยส่วนตัวก็พอจะเข้าใจกับทีมออกแบบ ที่จะต้องพยายามจัดสรรเนื้อที่ภายในให้คุ้มค่าต่อการใช้งานมากที่สุด โดยแบตเตอรี่ที่วางอยู่ตรงตำแหน่งพื้นรถ ทำให้ต้องลดขนาดความสูงของเบาะลง เพื่อที่จะให้เหลือพื้นที่ด้านบนให้มากขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มความสูงของตัวรถให้มันเทอะทะ
การทดลองขับครั้งนี้มีเวลาค่อนข้างจำกัด ซึ่งหลังจากนั่งฟังข้อมูลผลิตภัณฑ์ และเส้นทางการทดสอบแล้ว ก็ต้องรีบขึ้นรถท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาแบบไม่เกรงใจคนทำงานเลย เมื่อเข้าไปในรถพร้อมกุญแจ แค่เราเหยียบเบรก รถยนต์คันนี้ก็พร้อมที่จะเดินทางแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องงง และไม่ต้องไปเสียเวลาไปหาปุ่มสตาร์ทกันครับ ระบบเกียร์เป็นแบบปุ่มหมุนโดยมีตำแหน่งอยู่ตรงบริเวณคอนโซลกลาง และมี 3 ตำแหน่งให้เลือกใช้ นั่นก็คือ R, N และ D
ก่อนออกเดินทาง ทีมงานได้ให้มือถือไว้ในรถ เพื่อสำหรับการเชื่อมต่อ apple carplay และใช้แผนที่จากgoogle maps สำหรับนำทางไปยังจุดหมาย ซึ่งระบบนี้ก็เป็นแบบเดียวกับเจ้า HAVAL H6 นั่นเอง ซึ่งเมื่อเราตั้งเป้าหมายการเดินทางเรียบร้อยแล้ว การเดินทางก็เริ่มขึ้น
สัมผัสแรกกับการเคลื่อนตัวช้า ๆ ไปตามขบวน ความรู้สึกของพวงมาลัยมันก็ส่งมาให้ผมรู้สึกถึงความเบาแบบโหวง ๆ ซึ่งผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกแบบนี้ซะเท่าไหร่ แต่รถยนต์คันนี้ก็มีโหมดปรับพวงมาลัยได้ 3 โหมด โดยสามารถปรับเลือกได้จากบริเวณจอตรงกลาง ไม่รอช้าจึงรีบกดเข้าเมนูการปรับแต่ง แต่ปรากฎว่าจอเอ๋อ ไม่สามารถกดเลือกเมนูต่าง ๆ ได้ แถมบางจังหวะยังเด้งไปหน้าเมนูอื่นแทน “อัยยะ ตอนขับ HAVAL ไม่เจออาการนี้นะ”
แม้ว่าจอจะเอ๋อและผมยังหาวิธีแก้ไขไม่ได้ เพราะผมต้องขับรถไปตามเส้นทางการจราจรที่หนาแน่น แต่บนจอก็ยังแสดงผลของ google maps และบอกทางได้เป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องจอนี้เอาเป็นว่าถ้าให้ผมสรุป ผมก็จะบอกว่ามันเหมือนมือถือหรือแทปเล็ตที่เราใช้ ๆ กันอยู่นี่แหละ ถ้าพบว่ามันเอ๋อ หรือกดสัมผัสยาก ก็ลองจอดรถแล้วปิดเปิดระบบใหม่ ซึ่งหลังจากผมถึงจุดหมายแล้วกลับมาที่รถอีกครั้ง ระบบจอมันก็กลับมาทำงานได้ปกติ แต่ตอนช่วงที่ผมขับมันไม่มีเวลาจะจอดเพื่อลองเล่นระบบดูได้ อันนี้ก็ถือว่ามาแชร์ข้อมูลกัน เผื่อว่าเวลาคุณไปลองขับแล้วเจอแบบอาการนี้จะได้ไม่ต้องตกใจกัน
สำหรับสเปคตามข้อมูลของผู้ผลิต ORA Good Cat 400 PRO มาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต(LFP) ความจุ 47.788 kWh โดยทำระยะทางวิ่งสูงสุดได้ 400 กิโลเมตร ส่วนการขับเคลื่อนนั้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร และทำความเร็วสูงสุดได้ 152 กม./ชม.
พละกำลังของรถไฟฟ้าหน้าตาน่ารักรุ่นนี้ ถือว่าทำได้ดีไม่ขี้เหร่ แม้การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งจะไม่ได้ดึงหนักหน่วงดุดัน แต่ก็ออกตัวได้รวดเร็วนิ่มนวล อัตราเร่งมีมาให้แบบไม่มีใครน่าจะบ่น การเร่งแซงรถคันอื่นบนท้องถนนตามช่วงความเร็วที่กฎหมายกำหนด ทำได้รวดเร็วทันใจตามสไตล์รถที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เรียกว่าสนุกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ในอีกหลาย ๆ รุ่นเลยทีเดียว ส่วนความเร็วสูงสุดที่ทำได้บนหน้าปัดจะอยู่ 159 กม./ชม. ในแบบที่โรงงานล๊อกความเร็วมานะ
ส่วนอัตราการบริโภคไฟฟ้า ก็ขอกล่าวรวม ๆ ไปเลยแล้วกัน จากจุดปล่อยตัวตัวเลขจะโชว์ระยะทางที่วิ่งได้อยู่ที่ 390 กิโลเมตร แต่การขับขี่ครั้งนี้เส้นทางจะเป็น เมืองทอง-ฉะเชิงเทรา-เมืองทอง ซึ่งเจอการจราจรหลากหลายรูปแบบ ทั้งติดหนัก ๆ ติดเบา ๆ และทางโล่งแบบทำความเร็วได้
บทสรุปจากการประเมินแบบหยาบ ๆ ระยะทางที่สามารถวิ่งได้จริงของรถรุ่นนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 300 กิโลเมตร ทั้งนี้จะได้ระยะทางมากหรือน้อยกว่านี้ ก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของผู้ขับขี่เป็นหลัก แต่ขอบอกไว้ซะนิดกับนิสัยของรถไฟฟ้า คือถ้าเรายิ่งใช้ความเร็วสูง แบตเตอรี่ก็จะถูกมอเตอร์ไฟฟ้าสูบพลังงานไปใช้มากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ถ้าเราใช้ความเร็วต่ำ ๆ อัตราการบริโภคไฟฟ้าก็จะประหยัดจนคุณจะต้องประทับใจ ซึ่งอัตราแปรผันของการใช้พลังงานไฟฟ้าในยุคนี้ รถไฟฟ้ายิ่งใช้ความเร็วสูงอัตราแปรผันของการใช้พลังงานไฟฟ้าก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นสูงมากเป็นทวีคูณ
ซึ่งจากทฤษฎีนี้จะเห็นได้ว่า รถยนต์ไฮบริดของบางค่ายจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานในช่วงความเร็วต่ำ-กลาง โดยเครื่องยนต์จะมีหน้าที่ปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว แต่พอช่วงความเร็วสูงจะเป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนแทนมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะให้ผลในเรื่องของความประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีกว่านั่นเอง
จบในเรื่องของสมรรถนะด้านพลังและอัตราเร่งแล้ว มาดูในส่วนของช่วงล่างต่อ โดยรวมก็ถือว่าช่วงล่างทำงานได้ดีนะ แม้จะใช้ความเร็วที่สูงในบางช่วงของการเดินทาง ความมั่นใจยังมีให้ผู้ขับขี่ น้ำหนักพวงมาลัยมีการแปรผันให้รู้สึกมั่นคงขึ้น และรู้สึกดีกว่าตอนคลานที่ความเร็วต่ำซะอีก แต่อารมณ์ของพวงมาลัยโดยส่วนตัวยังให้ความรู้สึกไม่ค่อยชอบซะเท่าไหร่ มันดูเฉยชาไปนิด แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรสำหรับการขับขี่นะครับ แต่สำหรับคนที่ชอบขับรถอาจจะรู้สึกเหมือนผม
ความนุ่มนวลของช่วงล่างอยู่ในเกณฑ์ดีนะ แต่… อันนี้เป็นความรู้สึกของคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า แต่สำหรับฟีดแบคจากผู้นั่งหลังแจ้งมาว่า นั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ การกระแทกจากพื้นผิวถนนส่งมาให้รู้สึกตลอด (ซึ่งจริง ๆ มันก็เป็นอาการเบสิคของรถทรงท้ายตัดแบบนี้แหละ) และอีกอย่างคือการเก็บเสียงที่ด้านหลังที่ยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก โดยเสียงจะมาจากบริเวณซุ้มล้อและช่องตรงสายเซฟตี้เบลล์ ซึ่งคอมเมนท์ตรงจุดนี้ ต้องขอขอบคุณเพื่อนสื่อที่ร่วมเดินไปกับเราด้วย แต่โดยส่วนตัวผมยังไม่ได้มีโอกาสลองนั่งโดยสารที่ด้านหลังนะครับ
ส่วนปัญหาใหญ่สำหรับรถรุ่นนี้ที่ผมบังเอิญเจอสำหรับการทดลองขับในครั้งนี้ นั่นก็คือ “คราบสกปรกที่กระจกหลัง” เนื่องจากระหว่างการเดินทางเราเจอฝนตกค่อนข้างเยอะ แล้วเจ้าแมวดีมันเป็นรถทรง 5 ประตูท้ายตัดที่ไม่ยอมใส่”ใบปัดหลัง” มาให้ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจุดนี้ทีมออกแบบเค้าพลาดกันได้อย่างไร !!
ปัญหาคราบสกปรกที่กระจกหลังตอนขับขี่เวลาฝนตก มันทำให้เกิดทัศนะวิสัยการขับขี่ที่ไม่ค่อยดี และอาจจะสร้างปัญหาให้กับผู้ขับขี่อีกหลาย ๆ คนได้ เอาจริง ๆ จุดนี้ไม่น่าพลาด!
หลังเสร็จจากการขับขี่บนถนนจริง ก็ได้มีการจัดสเตชั่นหรือสถานีสำหรับการทดลองขับในสนามจำลอง ซึ่งการขับในสถานีจำลองนั้น ทำให้รู้สึกถึงสมรรถนะของตัวรถได้มากขึ้น กับเส้นทางที่มีพื้นที่จำกัดแต่ต้องใช้ความเร็วในการขับขี่ จุดนี้บอกได้เลยว่า โอร่า กู๊ดแคท ให้ความสนุกในการขับขี่ได้ค่อนข้างดี สมรรถนะสามารถเรียกมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว การคอนโทรลตัวรถด้วยความเร็วในพื้นที่จำกัดสามารถทำได้ง่าย และเชื่องมือ เรียกว่าพื้นฐานในเรื่องของสมรรถนะมีมาให้เกินคุณภาพยางที่ติดรถมาเลยทีเดียว
บทสรุปสำหรับรถยนต์ EV ตัวความหวังแรกจาก GWM และนับเป็นรถ EV กระแสแรงที่มีเสียงตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างเยอะ โดยรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีนะ หน้าตารูปทรงโดดเด่นดึงดูดสายตา สมรรถนะดี เทคโนโลยีก็ใส่มาให้เพียบ (แม้จะตกม้าตายในเรื่องง่าย ๆ อย่างที่ปัดหลังก็ตาม) ก็เอาเป็นว่าทั้งหมดทั้งมวลเจ้าแมวดี จะไปได้ดี หรืออาจจะไม่มีเจ้าของรับไปเลี้ยง ก็น่าจะขึ้นอยู่กับราคาค่าตัวที่จะเปิดในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ เป็นหลักแหละ ถ้าราคาดีจุดด้อยต่าง ๆ ก็จะถูกมองข้ามไปได้ไม่ยาก แต่ถ้าราคาสูงปี๊ดกระแสตอบรับที่กำลังดี ๆ ก็อาจจะตีกลับจนเสียทรง
เอาเป็นว่ารอดูราคาเปิดตัวกันก่อน แล้วคุณก็น่าจะมีบทสรุปของตัวเองได้ไม่ยาก…