การเปิดตัวของ TOYOTA VELOZ นับเป็นนิมิตรหมายอันดีต่อมุมมองของผู้บริโภค ที่ทางโตโยต้าดูจะมีความทุ่มเทอย่างจริงจังในการทำตลาดรถยนต์ในเมืองไทยนับต่อจากนี้ เนื่องจากที่ผ่านมารถที่เปิดตัวมาในหลาย ๆ รุ่นดูจะให้ของมาค่อนข้างน้อย ในขณะที่ราคาก็ยังไม่ดึงดูดใจซะเท่าไหร่ หรือบางรุ่นอาจจะให้ของมาพอประมาณ แต่มันก็ยังไม่มากพอที่โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน
แต่ครั้งนี้สำหรับการมาของ VELOZ ต้องถือว่าโตโยต้าจัดของมาให้แบบครบเครื่อง และมีความโดดเด่นกว่ารถคู่แข่งในท้องตลาด ณ ปัจจุบัน
การออกแบบภายนอกโดยรวมถือว่าสวยงาม ลงตัว และเป็นในสไตล์แบบโตโยต้าที่ยังไม่ได้มีการแหวกแนวออกมาจากรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ในตระกูล ขนาดเมื่อมองดูสายตาจะไม่ได้มีความใหญ่โตมโหฬารจนดูเทอะทะ แต่ส่วนตัวดูว่าไซส์กำลังดีสำหรับการใช้งานไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือนอกเมือง หรือการจะมุดลานจอดในตึกต่าง ๆ ก็ดูไม่น่าจะมีปัญหาหรือหนักใจแต่อย่างใด
ส่วนภายในห้องโดยสารการออกแบบโดยรวมก็ถือว่าดูดีเลยทีเดียว อุปกรณ์การใช้งานต่าง ๆ อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่าย ความกว้างขวางมีมาให้อย่างจุใจ เบาะทั้งสามแถวสามารถนั่งได้อย่างสบาย และในแถวสามชายไทยไซส์มาตรฐานสามารถนั่งได้ 2 คนแบบไม่ลำบาก แม้จะนั่งไม่สบายเท่าเบาะสองแถวแรกก็ตาม
เรื่องของวัสดุก็อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป ไม่ได้เจ๋งเกินตัว หรือว่าแย่จนต้องตำหนิ แต่ถ้าเป็นคนเนี้ยบจัดหรือคาดหวังอะไรไว้สูง ก็อาจจะไม่โอเคกับวัสดุ แต่ถ้าลองหันมาดูราคากับสิ่งที่ได้ ก็น่าจะพอใจได้ไม่ยากนะ
สิ่งที่โดดเด่นสำหรับภายในห้องโดยสารอีกอย่างก็คือ เบาะนั่งที่สามารถปรับได้ถึง 7 รูปแบบ โดยมีระยะการปรับเบาะแถวที่ 2 ยาวถึง 240 มม. แถวที่ 3 กว้างถึง 700 มม.
แถมหรูหราเกินหน้าเกินตาเพื่อน ๆ ในกลุ่มเดียวกันด้วยไฟ Ambient light ในห้องโดยสาร ที่มาพร้อมกับระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ
ระบบ Wireless Charger เค้าก็มีมาให้นะ แต่ตอนที่ลองใช้งานจริง ต้องบอกว่าเป็นจุดที่ต้องปรับปรุง เพราะเท่าที่ได้ลองชาร์จ iPhone 12 mini กับ Samsung S22 ปรากฏว่ามันชาร์จไม่ได้ อาการมันจะชาร์จติด ๆ ดับ ๆ สลับไปมาจนไอโฟนเครื่องร้อน 😰 และจากที่สอบถามหาข้อมูลมา ก็ได้คำตอบว่าโทรศัพท์รุ่นที่เก่ากว่านี้อาจจะชาร์จได้แบบไร้ปัญหา แต่ผมยังไม่ได้ลองของจริงเลยยังสรุปให้ไม่ได้
ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร มาพร้อมระบบ Dual VVT-i กำลัง 106 แรงม้า แรงบิด 138 นิวตัน-เมตร ถ่ายทอดกำลังด้วยเกียร์ CVT สู่ล้อคู่หน้า
สำหรับในเรื่องของสมรรถนะของเครื่องพันห้า กับเกียร์ CVT นั้นถือว่าทำงานได้ดีทีเดียว พละกำลังมีพอประมาณสำหรับการใช้งานทั่วไป “ไม่แรง ไม่อืด แต่ถ้าใจร้อนและความคาดหวังสูง ก็บ่นได้ตามสไตล์ตัวตน” การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งถือว่าทำได้ดีทีเดียว แต่สำหรับตัวเลขเวลาของอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น ครั้งนี้เป็นการทดสอบแบบกลุ่ม จึงไม่สามารถใช้เครื่องมือระหว่างการขับทดสอบได้ แต่ถ้าถามจากความรู้สึกอัตราเร่งก็อยู่ในเกณฑ์ดีนะ เมื่อเทียบกับลักษณะของตัวรถ
การเดินทางไกลก็สามารถเรียกอัตราเร่งมาใช้ได้แบบไม่หงุดหงิด การเร่งแซงรถบรรทุกก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เร่งแซงได้แบบไม่หวาดเสียว แต่มันก็ไม่ได้เฟี้ยวแบบกดเร่งแซงทีเดียวหายแว๊บนะ
ส่วนครั้งนี้ถือว่าเรามีจังหวะดีที่เจอถนนโล่งยาว ๆ จนสามารถมีโอกาสได้ลองความเร็วสูงสุดของเจ้ารถรุ่นนี้ โดยท็อปสปีดที่สามารถทำได้คือ 173 กม./ชม. (ถ้าใครได้มากน้อยกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ณ เวลานั้น) ซึ่งการทำความเร็วมีความต่อเนื่องไม่อืดอาด ไม่ต้องรอไหล มาตรวัดความเร็วจะไต่ตัวเลขขึ้นไปเรื่อย ๆ จนไปตันที่ความเร็วดังกล่าว
อัตราสิ้นเปลืองถ้าวิ่งทางไกลจะอยู่ราว ๆ 14-16 กม./ลิตร ในเมืองประมาณ 12-14 กม./ลิตร ส่วนใครจะทำได้ดีหรือแย่กว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้โดยสาร น้ำหนักบรรทุก รวมถึงสภาวะแวดล้อม และที่สำคัญกับลักษณะการขับขี่ของแต่ละบุคคล
สำหรับเรื่องการบังคับควบคุม เริ่มจากความรู้สึกและความเฉียบคมของพวงมาลัยก่อน โดยรวมอยู่ในเกณฑ์กลาง ๆ ไม่เด่นและก็ไม่ด้อย น้ำหนักพวงมาลัยไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายขับก็ไม่น่าจะมีใครบ่นอะไร การดึงเข้าโค้งก็ทำได้ไม่ยากไม่น่ากังวลอะไร
เรื่องของช่วงล่างในการทดลองขับครั้งนี้มีคนในรถ 2 คน กับสัมภาระแบบกระเป๋าเดินทางคนละใบ อาการช่วงล่างก็ให้ความนุ่มสบายดีนะ ก็ดูเหมาะกับลักษณะการใช้งานตามตัวรถ ตอนเจอหลุมหรือทางขรุขระก็ซับแรงกระแทกได้ค่อนข้างดี ซึ่งในบางจังหวะได้มีโอกาสลองเข้าโค้งแบบแคบ ๆ ด้วยความเร็วสูงพอควร (เพราะอยากรู้อาการ) ส่วนตัวถือว่ามั่นใจได้
แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้านั่งแบบคนเต็มรถ สัมภาระเต็มคัน ช่วงล่างจะออกอาการยังไงนะ แต่จุดนี้ถ้ามาแบบเต็มคันกันจริง ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องกำลังเครื่องยนต์ในตอนไต่ทางชันนะ เพราะครั้งนี้เค้ามีให้ลองแบบนั่งเต็มคัน แล้วออกตัวบนทางชันแบบขึ้นเขาด้วย ซึ่งรถก็ไปได้แหละ ไม่ต้องกังวลใด ๆ
แถมให้หน่อยสำหรับสถานีที่เค้าจัดให้ลองกับระบบตัวช่วยทั้งระบบการเตือนออกตัว เมื่อรถคันหน้าออกตัวไปแล้ว แต่เรายังเหม่อ หรือเผลอดูโทรศัพท์อยู่ ระบบก็จะมีเสียงเตือนให้ออกตัวตามคันหน้า ซึ่งระบบนี้ล้ำดีนะ รถยนต์ที่มีราคาแพงกว่านี้เยอะ ๆ หลาย ๆ รุ่น ก็ยังไม่มีเลย
ส่วนอีกสถานีเป็นการลองจอดอยู่กับที แล้วเผลอกดคันเร่งแบบรุนแรง โดยรถคันหน้ายังไม่ได้ออกตัว เจ้า VELOZ ก็จะมีระบบตัวช่วยที่จะทำหน้าที่เบรกเพื่อไม่ให้รถพุ่งไปด้านหน้า เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติจากความไม่ตั้งใจ โดยระบบนี้ก็ถือว่าทำงานได้ดีจนต้องยกนิ้วให้
นอกจากนี้ความโดดเด่นของระบบความปลอดภัยที่อยู่ในเจ้า VELOZ ที่อัดมาอย่างแน่นรถก็เช่น
– ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) (เฉพาะรุ่น Premium)
– ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยดึงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert (LDA) With Steering Assist) (เฉพาะรุ่น Premium)
– ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams) (เฉพาะรุ่น Premium)
– ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Front Departure Alert) (เฉพาะรุ่น Premium)
– ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธี (Pedal Misoperation Control) (เฉพาะรุ่น Premium)
ACTIVE SAFETY
– กล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor) (เฉพาะรุ่น Premium)
– กล้องมองภาพขณะถอยหลัง (เฉพาะรุ่น Smart)
– ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
– ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
– สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Brake Signal)
– ระบบควบคุมการทรงตัว (Vehicle Stability Control)
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill-start Assist Control)
PASSIVE SAFETY
– ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า / ด้านข้าง / ม่านด้านข้าง)
รายละเอียดยิบย่อยยังมีอีกเยอะมาก กับเทคโนโลยีไฮเทคที่เค้าใส่มาให้ มันทำงานได้ดี และไวอยู่นะ แต่อย่าไปเทียบประสิทธิภาพกับรถที่ราคาแพง ๆ แบบคนละคลาส แล้วเอามาแดกดันล่ะ “เด็กมัธยมต้น กับเด็กมหาลัย ยังไงก็ย่อมต่าง” แต่โดยรวมในการใช้งานก็ถือว่ามันทำได้ดีสมราคา และมีของให้เยอะมากจนเกินราคา เมื่อเทียบกับรถยนต์ประเภทเดียวกันในท้องตลาด ณ ขณะนี้
บทสรุปแบบสั้น ๆ โดยรวมของ TOYOTA VELOZ ถือว่ามีความลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อเทียบจากรถประเภทเกียวกันในท้องตลาดในขณะนี้ “เมื่อเทียบราคากับของที่ได้” สมรรถนะของตัวรถอยู่ในเกณฑ์ดี มีความอเนกประสงค์+ความสะดวกสบายสูง สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างหลากหลาย และเหมาะกับการที่ใครซะคนที่ต้องการใช้รถยนต์แบบคุ้มค่า
ครั้งนี้ถือว่าโตโยต้าทำการบ้านมาดี และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองซะที “ไม่กั๊กของ ไม่งกออฟชั่น และเปิดราคามาแบบยั่ว ๆ” ซึ่งถ้าโตโยต้ายังเดินแนวนี้แบบต่อเนื่องกับรถรุ่นต่อ ๆ ไป งานนี้เพื่อน ๆ ต่างค่ายเสียเหงื่อเยอะแน่ ๆ
แต่ก็ดีแหละ เพราะสุดท้ายผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับผู้บริโภคนั่นเอง… 😁