สำหรับบางคนอาจจะมองว่ารถยนต์นั้นเป็นเพียงยานพาหนะ ที่จะพาเราเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ซึ่งในโลกของรถยนต์ก็มีความหลากหลาย เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกใช้งานตามวัตถุประสงค์ส่วนตัว แต่โดยหลักก็จะเป็นการกำหนดรูปแบบมาจากค่ายรถผู้ผลิต ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ตอบโจทย์การใช้งานแบบโดนใจผู้บริโภคได้ทั้งหมด
แต่สำหรับคนที่มีจินตนาการในรูปแบบของตัวเอง ที่ต้องการรถยนต์มาสร้างสรรค์เพื่อตอบโจทย์ตามแบบฉบับตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประกอบอาชีพ, การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสังคม หรือการเติมเต็มความรู้สึกตามจินตนาการที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
เวลาที่ผ่านมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า “ซูซูกิ แครี่” สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนทั่วไปได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะเหล่ากลุ่มคนสร้างตัวที่สามารถลืมตาอ้าปาก และมีเงินเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวจากการนำเจ้าแครี่มาเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน ในรูปแบบรถยนต์สไตล์ฟู้ดทรัค (food truck) โดยจะเห็นได้อย่างคุ้นตาจากตามตลาดนัด, งานอีเวนท์ หรือตามสถานที่ต่าง ๆ ที่แต่ละร้านต่างใส่จินตนาการไปกันแบบเต็มเหนี่ยว เพื่อความเป็นเอกลักษณ์ และช่วยสร้างความโดดเด่นเพื่อดึงดูดสายตา และเพิ่มความน่าจดจำต่อคนทั่วไป
นอกจากนั้นก็ยังมีการนำเจ้าแครี่ มาดัดแปลงเสริมแต่งในอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแล็บเคลื่อนที่ซึ่งนับว่ามีประโยชน์มากในช่วงเริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 หรือจะเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่, ร้านสปาสัตว์เลี้ยงเคลื่อนที่, รถโชว์หรือขายสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะช่วยสะกดทุกสายตาของผู้ที่พบเห็นได้แบบไม่ยาก
และสำหรับครั้งนี้ก็นับเป็นอีกหนึ่งจินตนาการของความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถทำได้จริง โดยเข้ากับกระแส “แคมป์ปิ้งฟีเวอร์” ในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีการนำรถตู้ รถปิคอัพ หรือแม้กระทั่งรถเอสยูวี มาทำการดัดแปลงเพื่อการใช้งานในสไตล์รถบ้านแคมป์ปิ้ง ซึ่งทางซูซูกิเอง ก็ได้มีการโชว์ไอเดียโดยการเนรมิตเจ้าแครี่ ให้กลายเป็นรถบ้านสไตล์แคมป์ปิ้ง แล้วนำมาโชว์เป็นไฮไลต์ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้รับความสนใจอย่างมากมายเช่นเดิม ตามสไตล์รถไฮไลต์เด็ดที่จะต้องเป็นพระเอกในการเรียกสายตาของผู้เข้ามาชมงาน และโดยส่วนตัวจะต้องมาลุ้น มาดูทุกครั้ง ว่าซูซูกิแครี่จะมาในรูปแบบไหน แบบไม่เคยพลาด!!
มุมมองส่วนตัวสำหรับจุดเด่นที่ดึงดูดใจในการที่ใครหลายคนเลือก ซูซูกิ แครี่ มาเป็นรถยนต์พื้นฐานในการต่อยอดตามความคิดสร้างสรรค์ ก็มีอยู่หลายเหตุผล อย่างแรกก็น่าจะเป็นเรื่องของราคาที่เป็นการเริ่มต้นการลงทุนแบบไม่สูง (ราคา 395,000 บาท) ไม่ว่าจะนำไปประกอบอาชีพ หรือเอาไปทำความสุขตามจินตนาการ เพราะเมื่อเราเริ่มต้นสตาร์ทในราคาที่ไม่แพง เราก็จะมีเงินเหลือมากพอที่จะนำไปต่อยอดในเรื่องต่าง ๆ ได้อีก
ถัดมากับเรื่องพื้นฐานของตัวรถ เริ่มต้นจากรูปทรงที่เป็นรถหน้าตัด จึงทำให้รถมีขนาดกะทัดรัดแต่มีพื้นที่ใช้งานมาก และพื้นกระบะที่เรียบเสมอกัน ก็จะช่วยให้การจัดวางสิ่งของสำหรับการบรรทุกหรือการดัดแปลงให้เป็นไปได้ง่ายแบบไม่เกะกะ การดีไซน์เรื่องตำแหน่งการตกแต่งภายในก็ทำได้สะดวก และด้วยรูปทรงของรถหน้าตัดเมื่อนำไปตกแต่งแล้ว ก็จะออกมาในแนวที่น่ารักมากกว่า รถแนวหน้ายื่นแบบพวกปิคอัพหรือรถทั่วไป
ซึ่งด้วยความกะทัดรัดของตัวรถ จึงทำให้เกิดความคล่องตัวสูงสำหรับการใช้งาน โดยความยาวของตัวรถแบบสแตนดาร์ดจะอยู่ที่ไม่เกิน 4.2 เมตร (ความกว้างประมาณ 1.8 เมตร) ซึ่งก็ยาวไม่ต่างจากรถเก๋งขนาดเล็กทั่วไป เรียกว่าเป็นรถที่มีขนาดไซส์ในแบบที่คุณผู้หญิงก็ขับได้สบาย ๆ แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องขับรถเกียร์ธรรมดาเป็นนะจ๊ะ เพราะแครี่ยังไม่มีแบบเกียร์อัตโนมัติให้เลือกนั่นเอง
เกริ่นกันมาพอสมควรก็ขอวกเข้าเรื่องเจ้าแครี่ ในรูปแบบ Motor Home คันนี้บ้าง เริ่มต้นกับการออกแบบภายนอกที่สวยงามอย่างลงตัว บวกกับการเล่นสีและลายบนตัวรถ ซึ่งนอกจากจะดูดีแล้ว ยังช่วยพลางตาในเรื่องความเลอะเทอะเปรอะเปื้อนในตอนที่ไปลุยในสถานที่ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของประตูมีทั้งด้านข้าง (ฝั่งซ้าย) และด้านหลัง พร้อมทั้งมีหน้าต่างมาให้แบบครบ ๆ ส่วนด้านบนของหลังคานอกจากจะปีนบันไดที่อยู่ด้านข้างตัวรถเพื่อขึ้นไปนั่งหรือนอนชมวิวได้แล้ว ยังเป็นที่อยู่ของแผงโซล่าเซลล์ที่จะคอยทำหน้าที่แปลงพลังงานจากแสงอาทิตย์มาเก็บเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อสำรองไว้ใช้งานกับระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในตัวรถ
ด้านข้างมีหลังคาผ้าใบที่สามารถกางออกมากันแดดกันฝนได้แบบสะดวกสบาย วิธีกางก็ไม่ยาก คนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงแคมป์ปิ้งก็สามารถทำได้ โดยถ้าเป็นครั้งแรกอาจจะต้องใช้เวลาซะนิด แต่มันก็สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว
สำหรับภายในมีการตกแต่งออกมาอย่างสวยงาม มีโต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางของ โดยยังสามารถปรับรูปแบบเป็นเตียงนอนได้อีกด้วย ซึ่งอีกหนึ่งจุดเด่นก็คือการที่เราสามารถยืนและเดินภายในห้องนี้ได้อย่างสบาย หัวไม่ติดไม่ชนเพดาน จุดนี้จึงทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดยามเมื่อต้องใช้ชีวิตในรถคันนี้
แต่ภายในตู้โดยสารด้านหลังไม่ได้เจาะทะลุไปกับส่วนหัวเก๋งของผู้ขับขี่ ก็เลยเป็นเหมือนการแบ่งสัดส่วนระหว่างด้านหน้ากับด้านหลังอย่างชัดเจน แต่ส่วนตัวชอบแบบแนวเจาะทะลุ ซึ่งถ้าเป็นรถของตัวเองจะทำแบบนี้แน่นอน
หน้าต่างด้านข้างสามารถเปิดรับอากาศได้ และก็มีมุ่งลวดแบบแม่เหล็กให้มาติดกันยุงกันแมลงด้วย แต่ถ้าบังเอิญไปเจอวันที่อากาศสุดร้อน ที่แม้จะเปิดหน้าต่างรับลม หรือเปิดพัดลมระบายอากาศที่มีมาให้ ก็ไม่น่าจะช่วยอะไรได้มาก แต่อีกหนึ่งทางออกก็คือแอร์เคลื่อนที่ซึ่งมีไว้ให้พร้อมใช้งานในยามที่จำเป็น และมีข้อดีอีกข้อของแอร์เคลื่อนที่ที่สามารถจะเคลื่อนย้ายตำแหน่งในการตั้งจุดทำความเย็นได้ตามความต้องการ
การวางระบบไฟฟ้าภายในรถก็สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างสบาย มีจุดให้เสียบปลั๊กสำหรับการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ ได้เหมือนกับที่อยู่บ้าน และในส่วนของระบบไฟแสงสว่างภายในรถก็มีมาให้แบบไม่น่ามีใครบ่น
เมื่อปรับรูปแบบเป็นเตียงนอนที่มีไซส์ขนาด 2 คนนอนได้ ซึ่งก็น่าจะเพียงพอสำหรับการใช้งานแบบปกติแล้ว ความสบายมีมาให้พอที่จะผ่านค่ำคืนแห่งธรรมชาติไปได้อย่างมีความสุข ส่วนบางคนอาจจะมองหาห้องน้ำ… ใช่ครับในรถคันนี้ไม่มี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่คุณจะทำ เพราะมันสามารถสร้างขึ้นมาได้ตามจินตนาการที่คุณมี แล้วก็มีรถแครี่ที่ทำออกไปแล้วเช่นกัน โดยมีการเพิ่มความยาวตัวรถออกไปอีกประมาณฟุตนึง
อย่างที่บอกละครับว่ารถรุ่นนี้ คุณสามารถใส่ดีไซน์เข้าไปได้ตามความต้องการ และตามกำลังเงินที่คุณมี อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ จะเอาแบบไหน ยี่ห้ออะไรก็สามารถเนรมิตเสกเข้าไปได้ไม่ยาก
แม้ส่วนตัวจะไม่ใช่คนสายแคมป์ปิ้งแบบตัวจริงเสียงจริง แต่ก็พอใจกับสิ่งที่รถคันนี้เป็น ส่วนประเด็นถนัดก็อยู่ที่การทดสอบขับ เพราะก็น่าจะมีคำถามจากคนที่ลังเลว่ามันจะลุยไหวไหม? สมรรถนะมันโอเคหรือเปล่า? ขับเป็นไงบ้าง? แน่นอนครับว่าเราต้องมีคำตอบ…
สำหรับในการขับขี่จริง นับว่าเจ้าแครี่คันนี้ให้ความคล่องตัวสูงในการใช้งานที่ดีเลยทีเดียว ช่วงการขับวนอยู่ในเมือง ขนาดของตัวรถไม่ได้สร้างปัญหาในการขับขี่เลย ส่วนความกว้างของตัวรถ ก็แค่เล็งว่าในส่วนของกระจกมองข้างผ่านไปได้ อุปสรรคในการมุดตามสภาพการจราจรก็ไม่ใช่ปัญหา อีกหนึ่งจุดที่ขอชมกับรัศมีวงเลี้ยวที่ค่อนข้างแคบ (ตามสเปกวงเลี้ยว 4.4 เมตร) ทำให้ช่วงการกลับรถหรือเลี้ยวเข้าซอยไม่เป็นปัญหาอะไรเลย
ขนาดความยาวและความกว้างของตัวรถหลังการตกแต่ง ถือว่าไม่ต่างจากสแตนดาร์ดของเดิมซะเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังมาก ๆ สำหรับเจ้าแครี่คันนี้ก็คือ เรื่องของความสูงที่ต้องดูป้ายเตือนเรื่องข้อจำกัดความสูงดี ๆ เพราะถ้าพลาดขึ้นมา ปัญหาใหญ่เกิดแน่นอน (ป้ายจำกัดความสูงควรไม่ต่ำกว่า 2.9 เมตร เพราะข้อมูลความสูงตัวรถตอนนี้น่าจะอยู่ราว ๆ 2.7 เมตร)
ด้านสมรรถนะขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร (1,462 ซีซี) 4 สูบ 16 วาล์ว กำลังสูงสุด 71 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัว-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังไปที่ล้อคู่หลังด้วยเกียร์ธรรมดาแบบ 5 สปีด
ซึ่งบทสรุปจากการขับขี่ใช้งานด้วยระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ในเส้นทางหลายรูปแบบ แม้ยังไม่มีโอกาสได้ไปไต่เขาหรือขับขึ้นดอย แต่จังหวะการขับขี่ที่รถติดบนคอสะพานสูง ๆ ก็พอจะบอกอาการของตัวรถได้พอสมควร เพราะมีหลายครั้งที่รถติดคาทางขึ้นสะพานที่มีความชันและสูงพอประมาณ การออกตัวถ้ารู้จังหวะของรถดีแล้วก็จะไม่ใช่ปัญหาอะไร กำลังของเครื่องยนต์มีเพียงพอสำหรับการไต่ทางชัน แต่ถ้าเป็นเส้นทางแบบไต่เขาสูง ๆ หรือขึ้นดอยโหด ๆ อันนี้ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะยังไม่ได้ไปขับจริงแบบมีโหลดบรรทุกอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นเส้นทางประมาณลุยเที่ยวเขาใหญ่ก็บอกได้เลยว่าลุยได้ไม่ยาก
ส่วนในทางเรียบนั้นหายห่วง เจอรถติด ๆ ก็ขับสบาย เพราะครัชเบา เหยียบสบาย ๆ ไม่เมื่อย อัตราเร่งในการใช้งานเมื่อเทียบกับลักษณะตัวรถถือว่าทำได้ดี ไม่อืด ความเร็วสูงสุดทำได้ที่ประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับกระแสและทิศทางลม การทรงตัวที่ความเร็วสูงก็ยังให้ความมั่นใจที่ดี ตัวรถนิ่งไว้ใจได้ ส่วนความเร็วสูงสุดที่นำมาบอก ก็เพื่อมานำเสนอให้รู้เป็นข้อมูลเฉย ๆ นะ ว่ารถทำได้ และเผื่อบางจังหวะถ้าจะเร่งแซงก็จะได้รู้ลิมิตของตัวรถไว้ก่อน
อัตราทดของเกียร์มีความต่อเนื่องในการใช้งาน เกียร์ 1-4 เป็นเกียร์กำลัง สามารถเล่นเพื่อดึงกำลังให้ออกมาใช้ได้ไม่ยาก ส่วนเกียร์ 5 เป็นเกียร์โอเวอร์ไดร์ฟ เน้นลดรอบเครื่องในการเดินทาง ซึ่งเป็นส่วนช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และช่วงกำลังของแต่ละเกียร์ก็มีค่อนข้างมาก จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนจังหวะเกียร์ไปมาบ่อย ๆ
ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็นแบบคานแข็ง พร้อมแหนบ ซึ่งประสิทธิภาพโดยรวมถือว่าทำมาได้ดีเกินคาด ตอนแรกนึกว่าจะขับไม่สบาย น่าจะแข็งหรือกระเด้งกระดอนตอนขับ แต่ในความเป็นจริงมันขับสบาย นั่งนิ่ม แต่เมื่อเจอลูกระนาดหรือทางขรุขระก็ขอให้จับจังหวะในการเบรกชะลอความเร็วหน่อย เนื่องจากน้ำหนักด้านหลังที่เพิ่มขึ้นมามาก มันจะมีการถ่ายเทเป็นจังหวะ ดังนั้นควรจับจังหวะการแตะเบรกลดความเร็วให้ดี แล้วคุณจะพบความนิ่มสบายในการขับขี่
ในช่วงการใช้ความเร็วสูงตัวรถมีอาการนิ่งแบบให้ความมั่นใจพอสมควร แม้จะขับแบบใช้ความเร็วบนทางด่วนก็ตาม ส่วนการยึดเกาะถนน หรือการเข้าโค้งก็ทำได้ค่อนข้างเยี่ยมเมื่อเทียบกับลักษณะตัวรถ แต่ถ้าจะเข้าโค้งแรง ๆ ก็ให้ระวังและคำนึงเรื่องการถ่ายเทน้ำหนักจากตู้บ้านที่ด้านหลังด้วยนะจ๊ะ
ส่วนน้ำหนักด้านหลังที่เพิ่มขึ้นจากตู้บ้านขนาดสูงใหญ่พร้อมอุปกรณ์ภายในนั้น น้ำหนักรวม ๆ ตกอยู่ที่ประมาณ 1 ตัน ดังนั้นทางทีมซูซูกิจึงได้มีการได้เสริมแหนบเพื่อการรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอีกข้างละ 2 แผ่น ซึ่งแต่ละสูตรในการเซ็ทรถของแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ค่าความแข็งของแหนบ และอารมณ์ในการขับขี่ที่ต้องการ
ขนาดล้อและยางถูกปรับเปลี่ยนจากสแตนดาร์ดที่เป็นล้อกระทะเหล็กขนาด 13 นิ้ว ยางขนาด 165/80 R13 มาเป็นล้อแม็กลวดลายสวยงามขนาด 15 นิ้ว และใช้ยางขนาด 195/55 R15 มาประจำการแทนของเดิม ซึ่งนอกจากจะดูหล่อขึ้นแล้ว ก็ยังเป็นส่วนช่วยในเรื่องของสมรรถนะการยึดเกาะถนนที่ดีกว่าเดิมด้วย
ระบบพวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมพาวเวอร์ไฟฟ้าช่วยผ่อนแรง ก็เป็นส่วนช่วยให้เกิดความสบายในการขับขี่ น้ำหนักของพวงมาลัยค่อนข้างเบา แต่ไม่มีอาการหวิวให้ขาดความมั่นใจ ความเฉียบคมในการใช้งานถือว่ามีความเด่นอยู่ ซึ่งจุดนี้ก็ถือว่าทางซูซูกิทำออกมาได้ดี
ในเรื่องอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ณ จุดนี้ไม่ได้มีการทำทดสอบแบบเป่ะ ๆ เนื่องจากเวลาและสถานการณ์จำกัด แต่เท่าที่สังเกตดูอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ทั้งการขับแบบในเมือง นอกเมือง และในบางพื้นที่ที่การจราจรสาหัส ตัวเลขเฉลี่ยรวมน่าจะอยู่ที่แถว ๆ 10 กิโลเมตรต่อลิตร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยการขับขี่ และองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมโดยรวมด้วย แต่ส่วนตัวมองว่าประหยัดพอควรนะ เพราะลักษณะการขับของผมในครั้งนี้ ค่อนข้างจะใช้คันเร่งเปลืองและหนัก ใช้ความเร็วสูงและต่ำสลับสับเปลี่ยนกันไปตามสถานการณ์ แล้วก็มีหลายช่วงที่สนุกกับการขับขี่ และการลองใช้ความเร็วเพื่อทดสอบและดูอาการของตัวรถด้วย
ระบบเบรกเป็นแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม ที่มาพร้อมกับระบบ ABS ที่จะช่วยป้องกันการล๊อกตายของล้อในเวลาที่เบรกรุนแรง หรือเจอสภาพพื้นผิวถนนที่ลื่น ประสิทธิภาพโดยรวมถือว่าทำงานได้ดีนะ ส่วนตัวคิดว่ามันมั่นใจได้ในทุกช่วงความเร็วที่ใช้งาน
จากสมรรถนะของตัวรถที่สัมผัสได้ ก็บอกได้ว่ารถรุ่นนี้สามารถที่จะลุยไปได้ในเกือบทุกสถานที่แบบไม่ต้องกังวล แต่ถ้าใครจะไปลุยเละแบบออฟโรด ในสถานที่ที่ไร้ถนนหนทาง และจำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) หรือต้องขับรถเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น ก็ขอให้มองข้ามเจ้าแครี่ไปเลย เพราะมันไม่ตรงสเปกแน่นอน ซึ่งความต้องการแนวนี้ก็น่าจะต้องไปหยุดที่รถปิคอัพขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่มีราคาร่วมล้านโน้น แน่นอนว่าราคามันก็แพงกว่าเจ้าแครี่เป็นเท่าตัวเลยทีเดียว…… “แต่ถ้ามันจำเป็นต้องใช้ มันก็จำเป็นต้องจ่าย”
บทสรุปของ ซูซูกิ แครี่ ในมุมมองของผม ซึ่งอยากจะบอกว่า “มันเป็นรถที่มากกว่ารถ” เพราะมันสามารถช่วยสร้างอาชีพ, สร้างโอกาส, สร้างจุดเริ่มต้นในการทำมาหากิน, ช่วยเหลือสังคม และสามารถเติมเต็มความฝันตามจินตนาการที่สร้างไว้ ในราคาเริ่มต้นที่ไม่แพง มันจึงเป็นรถที่มีความหมายและให้ความคุ้มค่ามากกว่ารถยนต์แบบธรรมดาทั่วไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ลองพิจารณาจากความต้องการของคุณเป็นที่ตั้งก่อนตัดสินนะครับ
แถมท้ายถ้าใครมีตัวเลือกของรถที่มีราคาไม่เกิน 4 แสนบาท แล้วมีคุณสมบัติที่เหนือกว่านี้ ก็มาขิงกันได้นะ… เราพร้อมจะแลกมุมมองกับคุณ !!