หลังจากที่เคยได้ร่วมทดสอบ SUZUKI XL7 ในทริปทดสอบมาหลายรูปแบบ ทั้งการขึ้นเขาขึ้นดอย การลุยน้ำ ลุยทางขรุขระ และการวิ่งทางไกล แม้ผลลัพธ์โดยรวมจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ส่วนตัวก็ยังอยากรู้เกี่ยวกับการใช้งานในชีวิตประจำวันรูปแบบในเมืองและอัตราการบริโภคน้ำมัน… ซึ่งผมก็เชื่อว่ายังมีใครอีกหลายคนที่มีความอยากรู้ที่คล้ายกัน
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่กำลังจะเปลี่ยนจากรถเก๋งเล็กหรือพวกอีโคคาร์ มาเป็นเจ้า XL7 เพื่อรองรับการใช้งานในแบบครอบครัว เนื่องจากรูปแบบชีวิตที่เริ่มจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของครอบครัว หรือต้องคอยรับส่งพ่อแม่ผู้สูงวัยไปในที่ต่าง ๆ แต่โดยหลัก ๆ ยังต้องขับใช้งานในเมืองเป็นประจำทุกวัน แล้วมีความกังวลว่าจะจ่ายค่าน้ำมันไหวไหม? ความคล่องตัวจะมีหรือเปล่า? เรื่องความประหยัดจะเป็นยังไงบ้าง?
เมื่อเกิดความสงสัย ก็ควรต้องแก้ความสงสัย ดังนั้นผมจึงขอความอนุเคราะห์จากทางซูซูกิ เพื่อยืมเจ้า XL7 มาทำการทดสอบแบบการใช้งานในเมืองเพื่อให้สิ้นสงสัย และน่าจะพอเป็นคำตอบในอีกแง่มุมสำหรับท่านผู้อ่านที่กำลังมีข้อสงสัยเช่นเดียวหรือคล้ายกับผม ซึ่งการนำเสนอครั้งนี้เป็นแง่มุม และลักษณะการขับขี่ในแบบผม ซึ่งอาจจะมีคนที่เห็นต่างก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก และในส่วนของตัวเลขความสิ้นเปลือง ก็อาจจะมีคนทำได้ทั้งดีและแย่กว่าเช่นกัน
เริ่มต้นกับการไปรับรถทดสอบที่มีเลขไมล์เพียง 442 กิโลเมตร
จะว่าไปสำหรับการใช้งานในเมือง นอกจากจุดประสงค์หลักที่เราอยากรู้เรื่องอัตราบริโภคเชื้อเพลิงแล้ว เรายังได้พบกว่าเจ้า XL7 นั้นเป็นรถที่ให้ความคล่องตัวค่อนข้างสูงอีกด้วย แม้รูปร่างจะดูสูงใหญ่ แต่ในการใช้งานจริง ๆ ถือว่าคล่องตัวดีสำหรับการจราจรที่หนาแน่นอย่างในเมือง การเปลี่ยนช่องทางก็ทำได้ง่าย และด้วยความสูงของตัวรถ ก็ทำให้ทัศนวิสัยในการมองไปข้างหน้าทำได้กว้างและเห็นชัด ส่วนการกลับรถในถนนที่แคบ ๆ ก็ทำได้ไม่ยาก เนื่องจากวงเลี้ยวของตัวรถทำได้แคบมากพอสมควร (ตามสเปกรัศมีวงเลี้ยว 5.2 เมตร) ซึ่งจุดนี้ส่วนตัวค่อนข้างชอบมาก
อีกหลายข้อดีที่ชอบสำหรับการใช้งานในเมืองก็คือ เมื่อเจอทางขรุขระ ถนนไม่ดี หรือวิ่งตามถนนแนวก่อสร้างทางรถไฟฟ้า ก็สามารถขับขี่ได้อย่างไม่ต้องกังวลมาก เพราะเจ้า XL7 สามารถรูดผ่านถนนผิวโลกพระจันทร์ได้แบบไร้ปัญหา ไม่ต้องกลัวว่าใต้ท้องจะครูดหรือกระแทกเหมือนกับการขับรถเก๋งทั่วไป โดยช่วงล่างที่เซ็ทมาก็ถือว่าช่วยซับแรงกระแทกได้ค่อนข้างดี และส่งอาการมาถึงห้องโดยสารค่อนข้างน้อย
แถมเมื่อต้องเจอกับสภาพฝนตกปุ๊บ น้ำท่วมปั๊บ ก็จะไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา เพราะเจ้า XL7 มีความสูงมากพอสมควรที่จะลุยน้ำท่วมแบบปกติใน ก.ท.ม. ได้อย่างสบาย ๆ แต่ถ้าเจอแบบท่วมมากกว่าปกติ ก็ต้องลองประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะเสี่ยงลุย เพราะถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา จะไม่คุ้มกับความเสียหาย แต่เท่าที่เจอน้ำท่วมแบบปกติในช่วงที่ผ่าน ๆ มาในหลายพื้นที่ ก็คิดว่าเจ้า XL7 จะสามารถลุยผ่านอุปสรรคแล้วพาเรากลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย
ยิ่งช่วงที่เราได้รถมา เป็นช่วงที่ฝนตกน้ำท่วมเกือบทั่วกรุง และพื้นที่ที่ผมอยู่อาศัยก็ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังสูงแบบออกข่าวทีวีกันเลยทีเดียว แต่เจ้า XL7 ก็ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และพาผ่านอุปสรรคน้ำท่วมไปได้แบบไม่ต้องกังวล ซึ่งถ้าช่วงนั้นรถทดสอบที่เอามาเป็นพวกรถเก๋ง ก็คงจบแบบไม่กล้าออกไปไหนมาไหนอย่างแน่นอน
จริง ๆ จะว่าไป หลังจากที่ลองใช้เจ้า XL7 อยู่หลายวัน ก็เริ่มจะติดใจความสะดวกสบายในการใช้งาน ความอเนกประสงค์ทั้งในเรื่องของการโดยสารและการขับขี่ สิ่งที่ชอบมากก็คือการจะเดินทางไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องวางแผน เพราะรถอยู่ในสภาพที่พร้อมลุยในทุกเส้นทางสำหรับเมืองหลวงของเรา
สิ่งที่อยากจะแชร์อีกอย่างกับเบาะแถวสอง เพราะได้รับฟีดแบคจากรุ่นน้อง 2-3 คน ว่าผู้ใหญ่ที่บ้านชอบ XL7 มากเนื่องจากนั่งแล้วรู้สึกโปร่งสบาย กระจกด้านข้างก็บานใหญ่ หลังคาสูงโปร่ง นั่งแล้วรู้สึกไม่อึดอัดซึ่งในการทดลองขับครั้งนี้ ผมก็ได้มีการให้แม่นั่ง ซึ่งฟีดแบคก็ออกมาใกล้เคียงกับที่รุ่นน้องเคยเล่าให้ฟัง ว่าเบาะแถวสองนั่งสบาย ไม่รู้สึกอึดอัด แต่ส่วนตัวเท่าที่สังเกตก็จะเห็นปัญหาเรื่องของการเข้าออกรถ เนื่องจากรถมีความสูง ถ้าผู้ใหญ่ที่เป็นคนไม่สูง รูปร่างเล็ก ก็จะมีความลำบากบ้าง และต้องใช้เวลากับจังหวะในการขึ้นลงพอสมควร แต่ก็ไม่ลำบากถึงขั้นพวกรถกระบะ 4WD หรือ PPV ที่ต้องปีนขึ้นลงนะจ๊ะ
สื่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่างที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย อันนี้ถือว่ามีคุณภาพดี สามารถชาร์จโทรศัพท์ที่ผมมีได้หมดทุกเครื่อง แถมเวลาในการชาร์จก็ค่อนข้างไว เมื่อเทียบกับรถยนต์หลาย ๆ รุ่นที่เคยสัมผัสมา เพราะหลาย ๆ รุ่นชาร์จไฟเข้าค่อนข้างช้า และบางรุ่นชาร์จมือถือผมไม่ได้ซะเครื่องเลยก็เคยเจอ
ส่วนกล้องบันทึกภาพด้านหน้านี่ต้องเตือนกันนิดนึงว่า ควรจะเช็คที่ตัวกล้องว่าได้มีการใส่การ์ดความจำ (memory card) มาให้หรือยัง? โดยคันที่ผมได้รถมานั้นไม่มี ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการผิดพลาด เวลาเกิดปัญหาอะไรก็จะได้เรียกภาพมาดูย้อนหลังได้ ส่วนเมื่อกดดูภาพที่หน้าจอตรงกลางขนาดใหญ่ ก็จะพบว่าภาพบนจอนั้นไม่ค่อยมีความคมชัดซะเท่าไหร่ แต่ขนาดจอที่ให้มานั้นใหญ่โดนใจ ส่วนการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ก็ทำได้ง่าย สะดวกรวดเร็วดี
หัวใจหลักเป็นเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร (1,462 ซีซี) กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตัว-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาทีถ่ายทอดกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีด ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้า
สำหรับเรื่องพละกำลังเมื่อใช้งานในเมือง ก็ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่จี๊ดจ๊าดแต่ก็ไม่อืด การเรียกใช้อัตราเร่งมีการตอบสนองที่ดีเมื่อเทียบกับลักษณะของตัวรถ และโดยส่วนตัวก็เชื่อว่าคนที่ใช้รถประเภทนี้ก็คงไม่มีใครเน้นความแรงแบบบ้าพลังแน่ ๆ
ที่อยากจะชมก็เป็นเรื่องของเกียร์ ที่แม้จะเป็นแบบอัตโนมัติ 4 สปีด (แรก ๆ ผมก็อคติว่ามันโบราณ) แต่จากที่ได้ลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันซะพักมุมมองก็เริ่มเปลี่ยน เนื่องจากการทำงานที่นิ่มนวลมาก เรียกว่านิ่มจนแทบไม่รู้ถึงจังหวะตอนเปลี่ยนเกียร์เลยด้วยซ้ำ (ถ้าไม่ได้ดูเข็มวัดรอบ) ส่วนอัตราทดก็จัดมาแบบเหมาะสมเมื่อขับขี่ในเมือง ซึ่งอีกหนึ่งจุดใหญ่คงต้องขอชมความฉลาดของสมองกลเกียร์ด้วย
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ที่ XL7 ใช้ในตอนนี้ ความรู้สึกส่วนตัวคิดว่ามันเป็นการพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้วในเรื่องประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องความทนทานนั้นขึ้นชื่อมานานแล้ว ซึ่งถ้าให้เทียบกับเกียร์แบบ CVTซึ่งดูแล้วน่าจะมีลักษณะการทำงานที่ดีกว่า แต่ในรถหลาย ๆ รุ่น ณ ตอนนี้กลับเจออาการกระตุก กระชาก ไม่สมูท และอาจมีอาการวืดเล็ก ๆ ให้พอรู้สึก ซึ่งส่วนตัวมองว่าน่าจะเป็นช่วงของการพัฒนาที่ยังไม่ถึงขีดสูงสุด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลากันอีกหน่อย (รวมถึงเรื่องความทนทานด้วย)
ส่วนตัวต้องยอมรับว่าจากที่เคยมองกว่าเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ดูด้อย ดูโบราณ แต่เมื่อได้ลองใช้งานจริง และเทียบกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่ใช้ CVT ตอนนี้กลับมาชอบความสมบูรณ์แบบของเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดซะงั้น ซึ่งจริง ๆ ถ้ายังไม่เจออาการต่าง ๆ ของเกียร์ CVT (ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะเจอในยุคนี้) ก็จะยังคงหลงกับอคติอยู่… เอาเป็นว่าเรื่องเกียร์ขอดูเป็นกรณี ๆ ไปละกันนะครับ
สำหรับเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักสำหรับการเลือกซื้อรถ เท่าที่ได้ลองขับอยู่ 5-6 วัน กับระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก โดยมีรูปแบบการจราจรที่หลากหลาย การใช้คันเร่งก็มีหนักเบาตามสภาพการจราจรและอารมณ์ ซึ่งไม่ได้เน้นปั้นแต่งตัวเลขให้ออกมาสวยงาม
ดังนั้นก็อาจจะมีท่านผู้อ่านที่สามารถทำตัวเลขได้ดีหรือด้อยกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะลักษณะนิสัยในการขับขี่ที่แตกต่างกัน สภาพแวดล้อมที่ต่างกัน และเส้นทางหรือการจราจรที่แตกต่างกันก็เช่นกัน
โดยตัวเลขเฉลี่ยสำหรับการใช้งานในเมืองเป็นหลักจะอยู่ที่ประมาณ 12-15 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่ถนนโล่ง ๆ รถไม่ติด ตัวเลขระดับ 16-17 กิโลเมตร/ลิตร ก็มีมาให้เห็นหลายครั้ง แต่ถ้าเป็นช่วงรถติดสาหัสเป็นบางช่วงตัวเลข 10-11 กิโลเมตร/ลิตร ก็มีมาปรากฏ แต่เท่าที่ลองขับในช่วงรถติด ๆ ตัวเลขหลักเดียวที่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตร/ลิตร ก็ยังไม่มีมาให้เห็นนะ จุดนี้ถือว่าน่าพอใจอยู่ ซึ่งเมื่อเทียบกับเหล่าอีโคคาร์ที่ลองสัมผัสมา ก็ถือว่าทำได้ไม่ด้อยกว่าซะเท่าไหร่ ซึ่งถ้าคุณมีตัวเลขอีโคคาร์ที่คุณใช้อยู่ ก็ลองเอามาเปรียบเทียบแบบคร่าว ๆ ก็ได้นะครับ
ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับ SUZUKI XL7 ในกรณีที่คุณต้องการอัพเกรดจากอีโคคาร์คันเก่า เพื่อหารถมารองรับการใช้งานแบบครอบครัวที่กำลังเติบโตขึ้น แต่อาจจะกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายประจำวันที่อาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจากบทความนี้ ก็น่าจะพอได้คำตอบในหลายแง่มุมแล้วนะครับ ในเรื่องค่าใช้จ่ายของน้ำมันเชื้อเพลิงอาจจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องเมคเซ้นท์แหละ เพราะขนาดตัวรถใหญ่ขึ้น ขนาดเครื่องยนต์โตขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันก็มากกว่าพอสมควร ทั้งจำนวนที่นั่ง ความสบายในการโดยสาร และการพร้อมลุยกับสภาพเส้นทางต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่ได้ใจเป็นพิเศษในช่วงนี้ กับการลุยน้ำท่วมได้ดีขึ้นกว่าการใช้รถเก๋งคันเล็ก ๆ อย่างแน่นอน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความคุ้มค่าทั้งหมด ก็อยู่ที่จุดประสงค์และความต้องการในการใช้รถของคุณเอง เพราะฉะนั้นเมื่อคุณได้รับรู้ข้อมูลในหลาย ๆ มุมไปแล้ว ก็น่าจะสรุปคำตอบได้ไม่ยาก… แต่ส่วนตัวหลังจากที่ได้ใช้รถประเภทนี้ในช่วงนี้ ก็ชักจะมองข้ามพวกรถเก๋งเล็ก ๆ ไปแล้ว เพราะถึงแม้ว่ามันจะประหยัดกว่าทั้งการบริโภคน้ำมันและราคาค่าตัว แต่เมื่อเจอกับสภาพถนนและวิกฤตน้ำท่วมที่ต้องเจอกันบ่อย ๆ ในกรุงเทพเมืองฟ้าอมร ก็ต้องบอกว่ารถแนวนี้มันดึงใจไปได้เกือบหมดแล้ว