ย้อนกลับไปในช่วงสมัยมีภาพหลุดของซีรี่ย์ 4 รุ่นนี้ สิ่งที่ฮือฮาแบบขัดใจแฟน BMW พันธุ์แท้ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกก็คือกระจังหน้า หรือที่คนเรียกแบบติดปากว่าจมูก ที่มีทรงยาวและใหญ่จนน่าตกใจ ซึ่งหลายคนไม่ถูกใจสิ่งนี้ แต่พอเมื่อเวลาผ่านไป และหลาย ๆ คนเริ่มชินตา เสียงบ่นในเรื่องของจมูกก็เริ่มเบาลงไปเรื่อย ๆ
เอาจริง ๆ โดยรวมทั้งทรวดทรงและเส้นสาย ส่วนตัวผมว่ามันสวยงามและดูสง่ามากนะ ความลงตัวในการออกแบบถือว่าทำได้ดีทีเดียว แต่อย่างว่าแหละครับ จะมีสะดุดก็ตรงจมูกนั่นแหละ
การออกแบบภายในก็ยังคงกลิ่นอายตามแบบฉบับ BMW อยู่ ยังไม่ได้มีการแหวกแนวออกไปแต่อย่างใด อุปกรณ์อยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งาน แต่การเข้าไปเลือกฟังก์ชันการใช้งานในหลาย ๆ อย่าง สำหรับบางคนอาจจะต้องใช้เวลาศึกษา และค้นหากันบ้าง แต่มันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ถ้าคุณจะลองใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับมันซะหน่อย
สิ่งที่ผมชอบมาก ๆ เป็นการส่วนตัวสำหรับแบรนด์ BMW นั่นก็คือท่านั่งในการขับขี่ ที่สามารถปรับได้เข้ากับสรีระ และมีมุมมองในการขับขี่ที่ดีแบบถูกใจ เบาะนั่งผู้ขับขี่สามารถปรับรายละเอียดได้เยอะ และมีที่ยืดรับกับต้นขาได้อย่างลงตัว ส่วนเบาะด้านหลังก็ยังสามารถนั่งได้อย่างสบายสำหรับชายไทยไซส์ 170 เซนติเมตร
ส่วนวัสดุที่นำมาใช้ภายในห้องโดยสาร ก็เป็นวัสดุชั้นดีที่ให้ความรู้สึกที่ดีทั้งทางสายตา และการสัมผัสด้วยมือ ส่วนจอกลางก็มีขนาดและตำแหน่งที่เหมาะสม พร้อมการเชื่อมต่อ Apple Carplay ที่ง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน โดยเฉพาะคนที่ชอบใช้กุเกิ้ลในการนำทาง และชอบฟังเพลงจากมือถือของคุณ คุณภาพของพลังเสียงก็อยู่ในเกณฑ์น่าประทับใจ แต่ทั้งนี้ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ขึ้นกับสไตล์หูของคุณเองนะครับ แต่ส่วนตัวผมถือว่าแจ่มทีเดียว
สำหรับเรื่องของสมรรถนะในเมื่อตัวรถมาในรูปทรงของคูเป้ที่ให้ความรู้สึกแบบสปอร์ต แน่นอนว่าก็ต้องมีความคาดหวังกับเรื่องความแรงและสมรรถนะในการขับขี่ ขุมพลังที่พกมาจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2 ลิตร 1,998 ซีซี แบบ 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Steptronic ก่อนถ่ายพลังทั้งหมดไปที่ล้อคู่หลัง
ตัวเลขสมรรถนะจากสเปกของโรงงาน อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ที่ 5.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจะถูกตอนไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่สำหรับชีวิตจริง เราจะทำการทดสอบแบบใช้เครื่องมือทดสอบที่ได้มาตรฐาน จะได้ลดความผิดเพี้ยน หรือการมโนไปเองจากความรู้สึก ซึ่งแน่นอนว่าความรู้สึกของแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน ดังนั้นการใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐานในการทดสอบจะเป็นเรื่องค่อนข้างชัดเจนและหมดข้อถกเถียงกันไปได้ในระดับหนึ่ง
โดยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามเวลาจากเครื่องมือทดสอบอยู่ที่ 7.1 วินาที อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงการเร่งแซงโดยทั่วไปเวลาอยู่ที่ 3.8 วินาที ส่วนเวลาในการวิ่งคลอเตอร์ไมลอยู่ที่15.0 วินาที โดยความเร็วจะอยู่ที่ 159.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเวลาทั้งหมดนี้จะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยโดยรอบ ณ เวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิอากาศ สภาพถนน หรือลักษณะการขับขี่ของแต่ละบุคคล
ซึ่งตัวเลขเวลาที่ทางเรานำมาบอกเล่าจากการทดสอบครั้งนี้ ก็ถือว่าให้เป็นอีกหนึ่งมาตรฐานในการดูหรือพิจารณาประกอบเป็นข้อมูลอีกด้าน ไม่ว่าจะอ่านเพื่อความบันเทิงหรือประกอบการพิจารณาในการซื้อรถก็ตาม
สำหรับการขับขี่ทั่วไปในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ก็ถือว่าเป็นรถยนต์ที่ให้ความคล่องตัวสูง อัตราเร่งที่ดีทำให้เราพริ้วไหวไปกับการจราจรที่ค่อนข้างหลวม ๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน แต่สิ่งที่ต้องระวังในบางช่วงของการขับขี่ เช่น บนทางด่วนที่โล่ง ๆ ก็ควรต้องเตือนสติตัวเองในเหลือบมามองตัวเลขแสดงความเร็วกันบ่อย ๆ หน่อย เพราะว่าการขับแบบเพลิน ๆ โดยไม่รู้ตัว ตัวเลขแสดงความเร็วก็จะไปป่วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่บ่อย ๆ
สาเหตุก็คือความนิ่งของตัวรถ ที่จะหลอกความรู้สึกของผู้ขับขี่ว่ามันช้า มันนิ่ง จนนึกว่าใช้ความเร็วไม่สูง แต่พอเมื่อเห็นตัวเลขความเร็ว ก็จะพบว่ามันเลยจุดที่สมควรขับไปเยอะมาก และก็จะเสี่ยงต่อการได้รูปถ่ายจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแบบจัดส่งถึงบ้านอีกด้วย
ฟิลลิ่งของพวงมาลัยก็เป็นอีกอย่างที่น่าประทับใจ น้ำหนักดี มีความเฉียบคม คอนโทรลได้ดั่งใจ ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ถ้าใครลองขับแล้วจะรู้สึกแตกต่างก็ไม่ว่ากันนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกของแต่ละบุคคล ช่วงล่างให้ความนุ่มสบายนะ แต่ก็มีความรู้สึกกระด้างบ้างซึ่งก็มาจากความบางของแก้มยางของล้อขนาด 19 นิ้วนั่นแหละ ซึ่งการเซ็ทรถแนวนี้เอาจริง ๆ ก็ค่อนข้างยากนะ เพราะถ้าจะเซ็ทให้ดีในเรื่องสมรรถนะเป็นหลักเลย บางคนก็อาจจะไม่ชอบ เพราะมันจะแข็งและกระด้าง ซึ่งจะทำให้เสียความสบายไป แต่ถ้าเซ็ตให้นิ่มนั่งสบายไปเลย สมรรถนะในการขับขี่ก็จะลดลงไป ซึ่งก็ไม่น่าจะถูกใจคนบางกลุ่มอีก
ดังนั้นการเซ็ทช่วงล่างออกมาในแนวนี้ โดยส่วนตัวผมโอเคนะ สมรรถนะยังดีอยู่และความสบายในการเดินทางก็ยังมีให้ ส่วนใครเป็นสายโหด รองเท้าเบอร์ใหญ่ และชอบใช้ความเร็วในการเดินทางตลอดเวลา จะไปอัพเกรดปรับช่วงล่างให้มันรู้สึกสปอร์ตขึ้นก็ไม่ว่ากัน เพราะของแบบนี้เราสามารถปรับปรุงได้ตามใจชอบอยู่แล้ว
เพิ่มเติมในส่วนของเครื่องยนต์ที่สามารถเลือกได้ว่าจะเค้นเพื่อเรียกสมรรถนะ หรือจะเน้นให้ขับประหยัด ๆ ก็สามารถทำได้ เพราะถ้าคุณต้องความสนุกเร้าใจอัตราสิ้นเปลืองก็จะเป็นไปตามเท้าคุณนั่นแหละ แต่ถ้าคุณใจเย็น ๆ ขับไปเรื่อย ๆ ไม่เน้นใช้คันเร่งหนัก ๆ หรือเปลือง ๆ อัตราความสิ้นเปลืองก็จะตอบแทนด้วยความประหยัดน้ำมันให้คุณไม่ต้องเข้าปั๊มบ่อย ๆ
ระบบเบรกและตัวช่วยในเรื่องความปลอดภัย ถือว่าอยู่ในระดับที่ให้ความมั่นใจได้ ในการทดสอบครั้งนี้มีครั้งหนึ่งที่ต้องใช้เบรกแบบกะทันหัน นอกจากแรงกระทืบเบรกจากผู้ขับขี่แล้ว ระบบตัวช่วยไฮเทคยังช่วยเพิ่มน้ำหนักในการเบรกเพื่อให้ระยะเบรกสั้นลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย แต่จุดนี้ก็ต้องระวังรถหลังเราด้วยนะครับ เพราะเบรกเราโคตรดีแต่รถคันหลังเรา… อันนี้ไม่รู้ด้วยนะ
บทสรุปที่จะขอกล่าวแบบสั้น ๆ สำหรับ BMW 430i Coupe M Sport คันนี้ โดยรวมนับว่าสร้างความประทับใจให้ได้ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปทรง (แม้จะยังสะดุดกับดีไซน์จมูกอยู่บ้าง) ความหรูหราสะดวกสบายของห้องโดยสารที่สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างลงตัว ถ้าคุณยังเป็นคนที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรองรับผู้ร่วมเดินทางจำนวนมาก ๆ อยู่ตลอดเวลา
ส่วนเรื่องของสมรรถนะนั้นหายห่วงแม้เครื่องยนต์จะมีความจุเพียงแค่ 2 ลิตร แต่ก็ให้สมรรถนะที่เกินตัว หรือเรียกว่าเกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน “แรงสั่งได้ แต่ไม่ได้ถึงขั้นดุเดือดเลือดพล่านแบบจะไปไล่ตบข้ามรุ่นกับใครก็ได้”
นับว่าเป็นความลงตัวสำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์ในสไตล์คูเป้ ที่มีความครบเครื่อง ในราคา 3,939,000 บาท แบบไม่มี BSI แต่ในความเป็นจริง BSI นั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ใช้รถ BMW ดังนั้นก็ต้องจ่ายเพิ่มไปอีก 30,000 บาท เพื่อเป็นการจบพิธีอย่างสมบูรณ์แบบ และถ้าจำนวนเงินไม่ใช่ปัญหา รถยนต์รุ่นนี้จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกสไตล์คูเป้ที่ไม่น่าจะทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน