เพื่อไม่เป็นการให้เสียเวลา เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่ากับระบบไฮบริดของซูซูกิที่นำมาใช้กับเจ้าเออร์ติก้าตัวล่าสุดนี้ ก่อนอื่นจะขออธิบายแบบสั้น ๆ ง่าย ๆ ตามสไตล์ของเราว่า ขอให้ทุกท่านลบภาพระบบไฮบริดของค่ายอื่น ๆ ที่รู้จักออกไปก่อน เพราะระบบไฮบริดที่หลาย ๆ คนคุ้นเคย ก็จะเป็นการทำงานของเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือการสลับการทำงานของเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยตัวมอเตอร์ไฟฟ้าจะมีหน้าที่ขับเคลื่อนหรือส่งกำลังไปหมุนล้อนั่นเอง ส่วนวิธีหรือขั้นตอนการทำงานจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและวิธีการของแต่ละค่าย
แต่ของค่ายซูซูกินั้น มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้มา หรือชื่ออย่างเป็นทางการเรียกว่า Integrated Starter Generator หรือ ISG ซึ่งเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ไม่ได้มีส่วนหรือมีหน้าที่ในการส่งกำลังไปหมุนล้อโดยตรงเลย แต่มันจะมีหน้าที่ไปช่วยหมุนเพลาข้อเหวี่ยง (โดยผ่านสายพาน) เพื่อช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ลง ซึ่งระบบไฮบริดแบบนี้จะต่างจากที่คุณผู้อ่านคุ้นเคยกันกับจากทางค่ายอื่น ๆ ที่มีออกมาก่อนหน้านี้
ถ้ามีคำถามว่า… แล้วมันมีดี มีประโยชน์อย่างไร ? ก็ขอตอบในมุมมองของเราว่า มันก็จะช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งผลที่ได้ก็คือการประหยัดน้ำมันที่จะดีขึ้น รวมถึงการตอบสนองในการขับขี่หรือการเรียกใช้กำลังของเครื่องยนต์ก็น่าจะดีขึ้นด้วยเช่นกัน
เรื่องของพละกำลัง หรือความประหยัด แน่นอนว่าจะต้องสู้ระบบไฮบริดที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนหรือส่งกำลังไปหมุนล้อไม่ได้อยู่แล้ว แต่ระบบไฮบริดที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบนี้ก็จะมีต้นทุนที่สูงกว่ามาก และจะต้องใช้อุปกรณ์ที่มากกว่าด้วย
ส่วนระบบไฮบริดของซูซูกิที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการช่วยลดภาระเครื่องยนต์ แม้ในเรื่องสมรรถนะและความประหยัดจะสู้ไม่ได้ แต่ในเรื่องต้นทุนก็จะต่ำกว่า อุปกรณ์กับน้ำหนักที่เพิ่มเข้ามาก็จะน้อยกว่าเยอะ และนั่นก็รวมไปถึงการบำรุงดูแลรักษาก็จะง่ายและขั้นตอนก็น้อยกว่ามากด้วยเช่นกัน ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีก็จะมีจุดดีจุดด้อยในแต่ละแบบ
เมื่อพอเข้าใจหลักการการทำงานเบื้องต้นกันแล้ว ซึ่งเราจำเป็นต้องขอนำเสนอเพื่อความเข้าใจกันก่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและอาจจะทำให้เกิดความคาดหวังสูงในด้านต่าง ๆ จนมากเกินไป
การออกแบบภายนอกของ NEW ERTIGA SMART HYBRID ที่เป็น MPV แบบ 7 ที่นั่ง ส่วนตัวถือว่ามีการออกแบบที่สวยงามลงตัวในแบบที่คุ้นเคย ขนาดตัวถังไซส์กำลังน่าใช้งาน เพราะไม่ได้ให้ความรู้สึกใหญ่โตจนรู้สึกเทอะทะ ส่วนในเรื่องการดีไซน์ด้านความสวยงาม อาจจะเห็นต่างกันได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกหรือผิดแต่อย่างใดนะครับ
สำหรับภายในห้องโดยสาร ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเด่น เพราะมีความอเนกประสงค์ในการใช้งาน และสามารถนั่งโดยสารได้ถึง 7 คนแบบสบาย ๆ หรือถ้าไม่มีผู้โดยสารแล้วจะพับเบาะก็จะได้พื้นที่โล่ง ๆ สำหรับการบรรทุกสิ่งของหรือสัมภาระได้อีกมากมาย
บรรยากาศภายในให้ความโปร่ง โล่ง นั่งแล้วรู้สึกสบายไม่อึดอัด ส่วนนึงเนื่องจากกระจกบานใหญ่ และเป็นส่วนที่ช่วยให้ทัศนวิสัยดี และผู้สูงอายุส่วนใหญ่น่าจะชอบความโปร่งแบบนี้ แต่สำหรับเมืองไทยอย่าลืมติดฟิล์มนะครับ เพราะความที่กระจกบานใหญ่ ก็ย่อมรับแสงได้ดีเช่นกัน
ส่วนการดีไซน์ก็อยู่ในสไตล์เรียบหรู แต่ดูดี ไม่ใช่แนวโฉบเฉียว หวือหวา ความเด่นอยู่ที่จอกลางขนาดใหญ่ (10 นิ้ว) ที่สามารถต่อเชื่อมได้ทั้ง Apple CarPlay และ androidauto ที่จะช่วยให้ความบันเทิง และสามารถดูการนำทางจากกุเกิ้ลได้อย่างชัดเจนเนื่องจากจอใหญ่เต็มตา แต่จุดนี้จริง ๆ อยากได้กล้องบันทึกภาพด้านหน้าเพิ่มเข้ามาด้วยนะ ถ้ามีจะถือว่าสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
อ่อ… ขอเพิ่มอีกนิดกับที่ท้าวแขนกลางบริเวณด้านหน้าด้วยก็จะดีมาก เพราะเวลาเจอรถติด ๆ หรือต้องขับเดินทางไกลยาว ๆ ก็อยากจะสบายแขนซ้ายมากกว่านี้บ้างนะจ๊ะ
ส่วนหัวใจหลักซึ่งถือเป็นไฮไลต์สำคัญในครั้งนี้ก็คือ เรื่องของขุมพลังที่เป็น SMART HYBRIDโดยตัวเครื่องยนต์เป็นแบบเบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 สปีด ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้า
ซึ่งจากตัวเลขสเปกจะเห็นได้ว่า มอเตอร์ไฟฟ้าของระบบ SMART HYBRID ไม่ได้ช่วยเพิ่มในเรื่องของตัวเลขแรงม้าหรือแรงบิดเลย แต่ทางซูซูกิมีเคลมในเรื่องตัวเลขการบริโภคน้ำมันในเมืองว่าประหยัดขึ้น ซึ่งก็ตรงกับที่เราคิด เพราะระบบ SMART HYBRID จะช่วยให้มีการตอบสนองการขับขี่ที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลในเรื่องความทันใจในช่วงการกดคันเร่งในการเร่งแซงสำหรับช่วงความเร็วต่ำถึงกลาง เพราะระบบ SMART HYBRID จะช่วยลดโหลดในการทำงานของเครื่องยนต์ลง จึงมีผลในการช่วยในเรื่องของความประหยัดเมื่อใช้งานในเมืองด้วย
ส่วนถ้าเป็นการขับขี่แบบเดินทางไกลด้วยความเร็วคงที่ ระบบนี้อาจจะยังส่งผลไม่ได้เด่นชัดเท่าไหร่ ซึ่งในการทดลองขับครั้งนี้ เราได้ลองขับขี่ทั้งในรูปแบบในเมือง และการเดินทางไกลไปต่างจังหวัด ซึ่งก็ได้รายละเอียดในการใช้งานจริงประมาณนี้
สำหรับการขับขี่ในเมืองที่เจอการจราจรหลากหลายรูปแบบมากมาย ทั้งรถติดหนักแบบแสนสาหัส การจราจรแบบกลาง ๆ คือติดบ้าง เคลื่อนที่ได้บ้าง หรือบางวันเราก็เจอการจราจรแบบโล่ง ๆ รถไม่ติดเลย จึงทำให้เราเห็นตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากเกจ์วัดบนจอแบบหลากหลาย คือมีตั้งแต่ 12 กิโลเมตรต่อลิตร ไปยัน 20 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว
แต่ทั้งนี้นอกจากในเรื่องของสภาพการจราจรแล้ว ก็ยังขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยในการขับขี่ของแต่ละคนด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คันเร่งหนักเบา การดูจังหวะเบรกและเร่งในขณะการขับขี่ ซึ่งจุดแตกต่างตรงนี้ มีผลกับตัวเลขของอัตราความสิ้นเปลืองทั้งหมด
ส่วนตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองเมื่อเดินทางออกต่างจังหวัด โดยมีตัวแปรเป็นผู้โดยสาร 3 คน พร้อมสัมภาระในการเดินทาง โดยใช้เส้นทางกรุงเทพฯ – หัวหิน และมีการแวะท่องเที่ยวไปเรื่อยตามความพอใจโดยใช้ความเร็วภายใต้กฎหมายกำหนด ตัวเลขอัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยจะออกมาอยู่ที่ 14-16 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถ้าเทียบกับลักษณะของตัวรถ โดยส่วนตัวก็ถือว่าน่าพึงพอใจในระดับนึง
โดยรวมของรถยนต์รุ่นนี้ ก็ถือว่ามีจุดเด่นที่ลักษณะของตัวถังที่ให้ความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ไม่ว่าจะบรรทุกคน หรือบรรทุกของ การใช้งานในเมืองถือว่าให้ความคล่องตัวที่ดี อัตราเร่งค่อนข้างติดเท้าที่ช่วงความเร็วต่ำถึงกลาง (เทียบมาตรฐานจากเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร กับรถลักษณะนี้นะจ๊ะ)
ช่วงล่างมาในแนวนิ่ม นั่งสบาย การซับแรงกระแทกจากพื้นถนนทำได้ค่อนข้างดี ส่วนเมื่อขับโดยใช้ความเร็วก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ให้ความมั่นใจได้ แม้บางช่วงจะลองใช้ความเร็วในระดับ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ตาม
ส่วนระบบเบรกที่ด้านหน้าเป็นดิสก์ หลังเป็นดรัม ก็สามารถไว้วางใจได้ตลอดการทดลองขับ แถมบางช่วงในการยกคันเร่งเพื่อชะลอความเร็ว อาการเอ็นจิ้นเบรกหรือการที่เครื่องยนต์ช่วยดึงชะลอความเร็วก็มีมากกว่าปกติอีกด้วย ซึ่งจุดนี้น่าจะมีผลมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าของระบบ SMART HYBRID นั่นเอง
ณ ปัจจุบันก็นับว่าซูซูกิก็เป็นเจ้าแรก และเจ้าเดียว ที่นำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้กับรถยนต์ในกลุ่มนี้ ก็ถือว่ามีความลงตัวสำหรับการใช้งานที่ดีในระดับนึง และที่สำคัญการดูแลรักษาก็แทบจะไม่ต่างจากรถที่ใช้เครื่องยนต์แบบปกติเลย ก็นับว่าเป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นในกลุ่ม MPV ราคาต่ำที่มีความน่าสนใจ แต่จะโดนใจท่านหรือเปล่านั้น ก็ลองตัดสินใจดูครับ…